บทย่อ
หมับ! ใบหน้าน้อยๆ ของฉันถูกมือหนาบีบเข้าอย่างแรงด้วยความโกรธเคือง “หรือคิดจะจับฉัน โดยการใช้วิธีโง่ๆ แบบนี้? บอกเลยว่าไม่ได้ผล ฉันไม่มีวันยอมรับเด็กนั่น!” เขาใช้คำพูดว่าดะ…เด็กนั่นเหรอ! “…..” ฉันเงียบไม่มีแม้แต่คำพูดใดๆ ไม่ใช่ว่าไม่อยากด่า แต่เขาเลวเกินกว่าที่ฉันจะสรรหาคำด่ามาได้ “จัดการซะ ฉันยังไม่พร้อมที่จะมีลูกตอนนี้ เธอคงรู้ใช่ไหมว่าควรทำยังไง” เงินแบงก์พันปึกหนาจำนวนหนึ่งถูกยัดใส่มือฉันแบบไม่เต็มใจ ถึงเขาจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ฉันก็รู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร เขาต้องการที่จะให้ฉันทำแท้งเอาเด็กออก เขากำลังบีบบังคับให้ฉันฆ่าลูกตัวเอง… “พี่มันเลว เลวที่สุด!” “…..” “พี่กล้าให้นับทำแบบนี้ได้ยังไง เขาก็เป็นลูกพี่เหมือนกันนะ” ฉันทรุดนั่งลงบนที่นอนทั้งน้ำตา แค่สภาพจิตใจตอนนี้ก็ย่ำแย่มากพออยู่แล้ว “…..” “นับไม่กล้า นับไม่ทำ!” “งั้นก็ปิดปากของเธอซะ! อย่าให้ใครรู้ว่าเด็กนั่นเป็นลูกของฉัน” ปึ้ง! ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อถูกคนตัวโตปิดประตูห้องใส่หน้าอย่างแรง ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายกับฉันนัก…
ชีวิตใหม่
วัดแห่งหนึ่ง
หยาดน้ำตาสีใส ไหลลงอาบแก้มนวลครั้งแล้วครั้งเล่า ‘นับดาว’ หญิงสาววัยยี่สิบปีได้แต่ยืนสะอึกสะอื้นกอดรูปผู้เป็นแม่ด้วยความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้ง ควันสีขาวที่ลอยพวยพุ่งผ่านปล่องเมรุขึ้นสู่ท้องฟ้า มันช่วยเตือนสติให้เธอรู้ว่าแม่ได้ตายจากไปแล้วจริงๆ ต่อจากนี้เธอคงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง
“ทำใจให้สบายนะหนูนับ คิดซะว่าแม่เขาไปสบายแล้ว” ลีลาวดีบอกหลานสาวด้วยความสงสาร เธอและแม่ของนับดาวเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายสิบปี แต่ก็มีเหตุให้แม่ของนับดาวต้องด่วนจากโลกนี้ไป เพราะมีสาเหตุมาจากอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
ก่อนที่แม่ของนับดาวจะจากไป เธอได้ฝากฝังลูกสาวเพียงคนเดียวไว้กับเพื่อนสนิท ซึ่งลีลาวดีก็รับปากและสัญญาว่าจะดูแลนับดาวเป็นอย่างดี เพราะเธอเองก็รักและเอ็นดูนับดาวเหมือนลูกหลานแท้ๆ คนนึง
“ในชีวิตของนับ เหลือแค่แม่เพียงคนเดียว แล้วต่อจากนี้นับควรทำยังไงดีคะป้าลี นับจะใช้ชีวิตต่อไปได้ยังไง” หญิงสาวกอดรูปของผู้เป็นแม่ไว้แน่นอย่างน้อยใจในโชคชะตา ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ก็ล้วนแต่ตายจากเธอไปเสียก่อน
“ย้ายมาอยู่กับป้าไงจ๊ะ แม่ของนับฝากฝังหนูไว้กับป้าตั้งนานแล้ว หนูไม่ต้องเป็นกังวลนะ”
“แต่นับเกรงใจ นับคงไม่กล้าย้ายไปอยู่กับคุณป้าหรอกค่ะ” นับดาวยังคงคิดไม่ตก เธอไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้กับใคร ถ้าเป็นไปได้ก็อยากลองดิ้นรนด้วยตัวเองก่อน
“ไม่ต้องเกรงใจ ป้ารักหนูเหมือนลูกแท้ๆ คนนึงนะ อย่าคิดมากสิ”
“…..”
“ย้ายไปอยู่กับป้านะ เดี๋ยวป้าจะเป็นคนส่งเสียเลี้ยงดูหนูเอง”
“แต่หนู…”
“หนูเป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวมันอันตรายนะ ถ้าแม่เขารู้คงเป็นห่วงหนูแน่ๆฉะนั้น อย่าทำให้แม่เขาต้องเป็นห่วงเลยนะ เชื่อป้าเถอะ” ลีลาวดียกมือขึ้นลูบศีรษะของคนตัวเล็กด้วยความรัก เธอสัมผัสและรับรู้ได้ว่านับดาวเป็นคนที่อ่อนโยนและมีจิตใจดี
บ้านเอกอนันต์
ร่างบางยืนมองคฤหาสน์หรูที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ เธอตัดสินใจย้ายมาอยู่กับลีลาวดีตามความต้องการของผู้เป็นแม่ที่สั่งเสียเอาไว้ก่อนตายเพราะไม่อยากให้แม่ต้องมีห่วง คนตัวเล็กกลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่า ก่อนจะตัดสินใจกดกริ๊งที่อยู่หน้าบ้าน
กริ๊งง~ กริ๊ง~ ผ่านไปไม่นานนักแม่บ้านวัยกลางคนจึงเดินออกมาเปิดประตูให้เธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“มาหาใครคะ?”
“หนูมาหาคุณลีลาวดีค่ะ”
“ใช่คุณนับดาวหรือเปล่าคะ?”
“ใช่ค่ะ หนูชื่อนับดาว”
“ถ้างั้นเชิญตามมาทางนี้ค่ะ คุณนายกำลังรอคุณอยู่พอดี”
“…..” ร่างบางพยักหน้ารับพร้อมกับเดินตามเข้ามาในบ้านตามที่หญิงวัยกลางคนบอก
“คุณนับดาวมาแล้วค่ะคุณนาย”
“สวัสดีค่ะคุณป้า นับขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีรถเมล์เสียกลางทางน่ะค่ะ” นับดาวยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อมหลังจากที่เห็นว่าผู้เป็นป้ายืนรอต้อนรับอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
“ไม่เป็นไรเลยหนูนับ ว่าแต่ทานอะไรมาหรือยัง หิวไหมลูก?”
“ไม่หิวค่ะคุณป้า พอดีนับทานข้าวมาก่อนแล้ว”
“งั้นตามป้ามาทางนี้ เดี๋ยวป้าจะพาไปดูห้องนอนของหนู”
“…..”
แกร้ก~ บานประตูห้องนอนถูกเปิดออก ก่อนที่คนตัวเล็กจะสอดส่องสายตามองไปยังบริเวณโดยรอบ เธอรู้สึกเกรงใจเมื่อเห็นห้องนอนที่กว้างใหญ่และหรูหรากว่าบ้านหลังเดิมของเธอเป็นไหนๆ
ตั้งแต่ที่พ่อของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป เธอและแม่ก็กลายเป็นบุคคลล้มละลายไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก
“เป็นไงบ้าง หนูชอบห้องนี้หรือเปล่า?” ผู้เป็นป้าหันไปถามหลานสาวพร้อมยิ้มให้ ด้วยความที่เธอไม่มีลูกสาวจึงเอ็นดูนับดาวเป็นอย่างมาก
“ป้าลีจะให้นับอยู่ห้องนี้จริงๆ เหรอคะ?” เธอทวนถามอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ
“ก็ใช่น่ะสิจ๊ะ ป้าเตรียมห้องนี้ไว้ให้หนู”
“แต่นับว่ามันใหญ่เกินไป มีห้องที่มันเล็กกว่านี้ไหมคะ?”
“ถ้าเล็กกว่านี้ก็คงต้องเป็นห้องแม่บ้านแล้วล่ะจ้ะ” ลีลาวดีถึงกลับหลุดขำออกมาเบาๆ ให้กับท่าทางขี้เกรงใจของคนตัวเล็ก เพราะเธอตั้งใจรับนับดาวมาอุปการะเลี้ยงดูในฐานะลูกสาวคนนึง
“ให้นับอยู่ห้องแม่บ้านก็ได้ค่ะป้าลี”
“ได้ไงกันหนูนับ ป้าว่าอยู่ห้องนี้น่ะดีแล้ว ยังไงป้าก็ไม่ยอมให้หนูไปอยู่ห้องแม่บ้านหรอกนะ”
“…..”
“ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องป้านะ ส่วนห้องข้างๆ หนู เป็นห้องของพี่ครามกับพี่คินน์”
“พี่คราม พี่คินน์?” หญิงสาวครุ่นคิดแล้วนึกย้อนกลับไปในอดีต ‘ครามและคินน์’ คือลูกชายของลีลาวดีที่เธอเคยวิ่งเล่นด้วยกันสมัยเด็ก
พวกเขาทั้งสองคนชอบทำให้เธอร้องไห้และแกล้งเธอเป็นชีวิตจิตใจ พอเธอย้ายบ้านออกไปก็ไม่ได้เจอพวกเขาทั้งสองคนอีกเลย
“หนูจำพวกพี่ๆ เขาได้ใช่ไหม ตอนเป็นเด็กเคยเล่นด้วยกันบ่อยๆ”
“จำได้ค่ะ”
“ตอนนี้พี่ครามกับพี่คินน์โตเป็นหนุ่มกันแล้วนะ แถมยังหล่อมากๆ ด้วย เดี๋ยวตอนเย็นคงได้เจอกัน”
“…..” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความกังวล เพราะเธอไม่รู้ว่าคนทั้งสองจะยินดีด้วยหรือไม่กับการที่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่
ตอนเย็น
“เป็นยังไงบ้างหนูนับ อาหารถูกปากหรือเปล่า?” ลีลาวดีเอ่ยถามหลานสาวในขณะที่นั่งทานข้าวเย็นกับนับดาวเพียงสองคน
“อร่อยมากค่ะป้าลี นับไม่ได้ทานอาหารอร่อยๆ แบบนี้มานานแล้วค่ะ” ร่างบางตอบกลับ นี่คงเป็นอาหารมื้อแรกที่เธอทานมันได้อย่างเต็มปากเต็มคำหลังจากที่เสียแม่ไป
“ถ้าอร่อยก็ทานเยอะๆ เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ค่ะป้าลี”
“นี่มันก็ค่ำมากแล้วนะ ว่าแต่ตาครามกับตาคินน์ยังไม่กลับมาอีกเหรอ?” ลีลาวดีหันไปถามแม่บ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่าแล้วแต่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทั้งสองคนยังกลับไม่ถึงบ้าน ทั้งๆ ที่พากันเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายสอง
“นอมโทรหาคุณครามกับคุณคินน์แล้วค่ะ อีกเดี๋ยวสักพักก็น่าจะถึง” แม่บ้านวัยกลางคนพูดขึ้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นเกือบทุกวันที่ลูกชายทั้งสองนั้นออกไปเถลไถลนอกบ้าน
“เลิกเรียนตั้งนานแล้ว ทำไมยังกลับไม่ถึงบ้านอีก แย่จริง!”
“นั่นไงคะ พูดถึงก็มาพอดี”
ลีลาวดีถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายหลังจากที่ได้เห็นลูกชายทั้งสองเดินเข้ามาในบ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน
“ตาคราม ตาคินน์ มาหาแม่หน่อย”
ครืด~ ตุบ! คนตัวเล็กถึงกลับก้มหน้าสะดุ้งเมื่อมีคนลากเก้าอี้แล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เธออย่างแรง กลิ่นแอลกอฮอล์ที่พ่นออกมาทางลมหายใจบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนข้างเธอนั้นผ่านการดื่มมาอย่างหนัก
“นี่หนูนับดาวนะ ลูกของคุณน้าวาดเดือน จำกันได้หรือเปล่า?”
“จำได้สิ ผมจำได้แม่นเชียวล่ะ ยัยเด็กขี้ฟ้อง!”
“โตเป็นสาวแล้วน่ารักขึ้นเยอะเลยนะ”
นับดาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตามมารยาท ก่อนจะเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาทั้งสองที่อยู่ในชุดนักศึกษาชายเสื้อหลุดลุ่ยกอดอกมองหน้าเธออยู่ เธอรู้สึกไม่แน่ใจว่าคนไหนคือครามและคนไหนคือคินน์
“สวัสดีค่ะพี่คราม” นับดาวยกมือไหว้ทักทายคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอ สีผมดำขลับและสันจมูกโด่งคมช่างตัดกับใบหน้าขาวเนียนของเขาเป็นอย่างดี
“…..” แต่สิ่งที่เขาตอบกลับมามีแค่เพียงความเงียบ จนทำให้เธอรู้สึกเกร็งอย่างบอกไม่ถูก
“สวัสดีค่ะพี่คินน์” เมื่อไม่มีสัญญาณที่เป็นมิตรเธอจึงหันมาทักทายชายหนุ่มคนที่นั่งข้างๆ เขาคนนี้มีผมสีควันบุหรี่ที่ดูแล้วร้ายไม่เบา
หลังจากที่พูดจบ ใบหน้าคมคายเลื่อนเข้าใกล้หญิงสาวที่นั่งข้างๆ จนเธอต้องรีบขยับถอยหนี
“พี่จะให้โอกาสเธอคิดอีกที คนไหนคราม คนไหนคินน์?”