บทนำ
ราชอาณาจักรซาตูเนีย
ซาตูเนียเป็นประเทศเล็กๆ ตั้งอยู่ในแถบตะวันออกกลาง เป็นประเทศเปิดที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีทรัพยากรที่เอื้อต่อการขยายอำนาจทางธุรกิจ เช่น น้ำมันดิบ ทองคำ ซัลเฟอร์และยิปซั่ม ทำให้ประเทศนี่เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ถูกจัดอันดับความร่ำรวยให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก
แต่ในความรุ่งเรืองและความเจริญก้าวหน้าที่เป็นไปอย่างรวดเร็วก็ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จึงทำให้เกิดความจลาจลรุนแรงขึ้นตามชายแดน แต่ทางรัฐบาลก็สามารถควบคุมเหตุการณ์ร้ายเอาไว้ได้
“เป็นอย่างไรบ้างอิมราน” ชีควาฮิด ฮะกีม ซัลมา อับบาส ผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์นักปกครองที่มีอายุน้อยที่สุดในแถบตะวันออกกลางรับสั่งขึ้นพร้อมกับประทับยืนเมื่อพระอนุชาต่างพระมารดาเสด็จเข้ามาในห้องทรงพระอักษร
“เหตุการณ์สงบลงแล้วท่านพี่ แต่น่าเสียดายที่เจ้าพวกตัวหัวหน้ามันหนีรอดไปได้ ตอนนี้ข้าได้สั่งให้ซิยาดกับวาคิมตรวจสอบความเสียหายทั้งหมดแล้ว” เจ้าชายอิมราน รัชทายาทอันดับหนึ่งของซาตูเนีย โค้งพระเศียรลงนิดหนึ่งก่อนจะกราบทูลต่อพระเชษฐา
“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ทรงทอดพระเนตรไปทั่ววรกายของพระอนุชาด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าพระองค์กับพระอนุชาจะมีพระมารดาคนละเชื้อชาติกัน แต่ก็ทรงรักใคร่กันมาก
พระองค์เป็นพระโอรสองค์โตของชีคดาอิมกับพระชายาอัยนูนซึ่งมีเชื้อสายซาตูเนียโดยกำเนิด ส่วนอิมรานเป็นพระโอรสของพระชายาอเล็กเซีย ชาวฝรั่งเศส ซึ่งอาจจะมีข้าราชการบางคนที่ไม่ชอบในความเป็นลูกครึ่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็ยอมรับในฝีมือและความกล้าหาญของพระองค์
“ขอบใจเจ้ามากที่จัดการทุกอย่างให้อย่างเรียบร้อย แต่ในเมื่อเรายังกำจัดไอ้พวกผู้นำของพวกมันไม่ได้ เราก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะพวกมันอาจกลับมาสร้างปัญหาอีก”
“ข้าก็คิดเหมือนกับท่านพี่ ข้าจึงจะมากราบทูลลาไปประจำการที่ชายแดน เพื่อคอยตรวจตราความเรียบร้อยต่างๆ”
“เจ้าคิดดีแล้วเหรออิมราน” พระเชษฐาเสด็จเข้ามาตบลงบนพระอังสา ของพระอนุชาเบาๆ พระองค์รู้ว่าที่พระอนุชาต้องการย้ายไปประจำที่ชายแดนก็เพื่อต้องการหนีจากความเจ็บปวดในหัวใจ
สาเหตุอันเนื่องมาจากการอภิเษกสมรสของพระองค์กับดานิชลูกสาวของรัฐมนตรีกระทรวง
กลาโหมเมื่อเดือนก่อนนั่นเอง พระองค์ทราบดีว่าอิมรานกับดานิชมีใจต่อกันอยู่ แต่ในเมื่อรัฐมนตรีทั้งหมดลงความเห็นว่าดานิชเหมาะสมที่จะเป็นพระชายาเคียงข้างพระองค์ พระองค์ก็ไม่สามารถจะเอ่ยคัดค้านใดๆ ได้ ถึงแม้ในพระทัยจะสงสารพระอนุชามากก็ตาม
“ข้าคิดดีแล้วท่านพี่ ข้าควรจะไปตรึงกำลังไว้ที่ชายแดนจะเหมาะที่สุด เพื่อให้ต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศของเรามั่นใจว่าประเทศของเรามีความพร้อมพอที่จะให้พวกเขามาลงทุน” พระสุรเสียงที่หนักแน่นทำให้ผู้เป็นพระเชษฐาถอนพระปัสสาสะแล้วพยักพระพักตร์เป็นเชิงอนุญาต
“ตามใจเจ้าแล้วกัน แต่เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มาก อย่าลืมนะว่าเจ้าคือรัชทายาทของซาตูเนีย” ทรงรับสั่งด้วยความห่วงใย เพราะพระองค์มีกันเพียงสองพี่น้องเท่านั้น
เมื่อสองปีก่อนพระบิดากับพระมารดาทั้งสองประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ด้วยน้ำมือของผู้ก่อการร้าย สิ้นพระชนม์ไปพร้อมกันทั้งสามพระองค์ ทำให้ในวังเกิดความวุ่นวายแล้วก็ได้เจ้าชายอิมรานเข้ามาแก้ไขปัญญาทั้งหมด
“ขอบพระทัยท่านพี่” ราชิกุลหนุ่มค้อมตัวลงแล้วหมุนวรกายเสด็จออกไปจากห้อง แต่ในขณะ
เดียวกันนั้นวรกายบอบบางในชุดคลุมสีครีมยาวตลอดร่างของพระชายาดานิชก็เสด็จเข้ามาในห้องพอดี
เจ้าชายอิมรานหยุดชะงักพระบาท สีพระพักตร์เรียบเฉย ก่อนจะโค้งพระเศียรลงเพื่อทำความเคารพในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นพระเชษฐภคินีในพระเชษฐา ถึงแม้ว่าจะเคยเป็นคนรักของพระองค์มาก่อนก็ตาม แต่นั่นก็คืออดีตไปแล้ว พระองค์ยอมเฉือนพระหทัยของพระองค์เองเพื่อพระเชษฐาตามที่พระมารดาเคยพร่ำสอนอยู่เสมอว่า ให้รักและเทิดทูนพระเชษฐาพร้อมทั้งถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่จะตอบแทนคุณของแผ่นดินซาตูเนียได้
“ทรงพระสำราญดีหรือเพคะเจ้าชาย” พระชายาดานิชรับสั่งขึ้นพร้อมกับแย้มพระสรวลให้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะตีสีพระพักตร์เรียบเฉยเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“ก็เรื่อยๆ...ข้าขอตัวก่อน ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำ” รับสั่งจบราชนิกุลหนุ่มก็เสด็จออกไป การที่พระองค์ขอไปอยู่ที่ชายแดนจึงเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ต้องมาพบเจอกับพระชายาดานิชอีก เพื่อเป็นการเยียวยาพระหทัยของพระองค์เองด้วย
พระชายาดานิชทอดพระเนตรตามวรกายสูงที่เสด็จออกไปด้วยแววพระเนตรที่เศร้าสร้อย ก่อนจะเสด็จเข้าไปหาพระสวามีพร้อมกับแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ
“ทรงเลยเวลาเสวยแล้วนะเพคะ ยังทรงงานไม่เสร็จอีกเหรอเพคะ”
“เสร็จแล้ว แต่ข้ารอฟังข่าวจากอิมรานอยู่ เลยยังไม่ได้ลงไป” กษัตริย์หนุ่มถอนพระทัยเฮือกใหญ่ ก่อนจะรับสั่งต่อ “นี่เขาก็มาขอย้ายไปอยู่ที่ชายแดน”
“ชายแดนหรือเพคะ!” พระขนงเรียวดำได้รูปขมวดมุ่นอย่างตกพระทัย พระนางรู้ทันทีว่าเหตุผลที่ทำให้เจ้าชายอิมรานไม่ต้องการอยู่ในวังก็เป็นเพราะตนเอง แววเนตรสีน้ำตาลทองจึงสลดลง
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ที่อิมรานต้องออกจากวังก็เพราะเราสองคน ข้าเองก็รู้สึกผิดที่ไม่ปฏิเสธการแต่งงานในครั้งนั้น ข้าควรจะทำเพื่อเขาบ้าง ทั้งๆ ที่เขาทำเพื่อข้ามาโดยตลอด” สีพระพักตร์หม่นเศร้าลงด้วยความรู้สึกผิด
“อย่ารับสั่งแบบนั้นสิเพคะ หม่อมฉันทราบดีเพคะว่าเราต่างก็ทำเพื่อบ้านเมืองด้วยกันทั้งนั้น ฐานะอย่างพวกเราไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจเราทุกอย่างหรอกเพคะ” พระหัตถ์บางเอื้อมไปกุมพระหัตถ์ใหญ่เอาไว้พร้อมกับแย้มพระสรวลให้กำลังใจ
“ขอบใจเจ้ามากที่เข้าใจและทำหน้าที่ของเจ้าอย่างดี แล้วข้าก็หวังว่าน้องชายของข้าคงจะได้เจอกับหญิงที่ดีเช่นเจ้าในเวลาไม่ช้านี้”
“เพคะ หม่อมฉันก็หวังเช่นนั้นเพคะ” พระนางรู้ดีว่าความรักของเธอกับเจ้าชายอิมรานไม่มีทางสมหวังกันได้แล้ว แต่พระนางก็หวังว่าเจ้าชายอิมรานจะได้เจอผู้หญิงที่ดีและคู่ควรกัน ส่วนพระนางก็จะทำหน้าที่พระชายาให้เต็มที่ และเชื่อว่าความดีของชีควาฮิดจะทำให้พระนางรักชีคหนุ่มได้อย่างเต็มหัวใจในสักวันหนึ่งเช่นกัน
ประเทศไทย
“อะไรน่ะ! นี่คุณจะเอานังเด็กชั้นต่ำนั่นมาเป็นลูกบุญธรรมอย่างนั้นเหรอ...ฉันไม่ยอมเด็ดขาด!” ภคพรหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เมื่อสามีจะเอาเด็กสาวซึ่งเป็นลูกของผู้หญิงซึ่งเคยเป็นคนรักเก่ามาชุบเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม
“คุณมีเหตุผลหน่อยสิ พัชรินทร์น่าสงสารมาก กำพร้าทั้งพ่อและแม่ แถมไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนด้วย ก่อนที่เกตุวดีจะตายผมก็รับปากเธอเอาไว้แล้วว่าจะเลี้ยงลูกของเธอเป็นอย่างดี” เอกพจน์พยายามชี้แจ้งเหตุผลให้ภรรยาฟัง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆ
“ฉันมีเหตุผลเสมอ ฉันรู้นะว่าที่คุณจะรับมันมาเลี้ยงก็เพื่อจะให้มันมาทำหน้าที่แทนแม่ของมัน ตอนนี้มันก็ใช้งานได้แล้วนี่ อายุ 17-18 กำลังรุ่นขบเผาะเลยนี่ หึ! ตัวเองตายไปแล้วยังคิดจะให้ลูกมาแย่งคุณไปจากฉันอีก ฉันจะขอสาปแช่งมันไม่ให้ได้ผุดได้เกิดเลยคอยดู!”
“คุณบ้าไปใหญ่แล้ว! มีแต่ความคิดชั่วๆผมรักและเอ็นดูพัชรินทร์เหมือนกับที่รักยัยเนตรกับตาภพนั่นแหล่ะ ไม่เคยคิดในทางชั่วร้ายอย่างคุณ คุณอย่าเอาความอคติที่มีต่อเกตุวดีมาทำร้ายเด็กที่บริสุทธิ์เลย เดี๋ยวจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก!” คราวนี้เอกพจน์ถึงกับตะคอกใส่ภรรยาอย่างโมโห เมื่ออีกฝ่ายมีความคิดนอกลู่นอกทาง
จริงอยู่ที่เมื่อ 18 ปีก่อนเขาเคยรักกับเกตุวดี แต่ฐานะของเขากับเกตุวดีแตกต่างกันมาก ครอบครัวของเขามีฐานะร่ำรวย บิดาเป็นถึงเอกอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษ มารดาของเขาจึงจับเขาแต่งงานกับภคพร แต่เขากับเกตุวดีก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จนกระทั่งเมื่อวันก่อนเขาได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าเกตุวดีและสามีประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่เกตุวดีจะสิ้นใจก็ได้ฝากฝั่งลูกสาวคนเดียวให้เขาช่วยดูแล
“นี่!...นี่คุณออกรับแทนมันขนาดนี่เลยเหรอ คุณไม่เคยตะคอกใส่ฉันเลยนะ เป็นเพราะนังตัวเสนียดนั่นคนเดียวที่ทำให้คุณเปลี่ยนไป แค่ก้าวเข้ามาในบ้านยังไม่ถึงวัน ยังไงๆ ฉันก็ไม่ต้อนรับมัน!” ภคพรยืนกระต่ายขาเดียว เธอไม่ยอมให้นังเด็กมารนั่นเข้ามาอยู่ในบ้านเด็ดขาด แค่เธอเห็นหน้ามันแวบแรกก็อยากจะตบแทนตัวแม่มันให้หายแค้น เพราะไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีสามีของเธอก็ไม่เคยลืมผู้หญิงที่ชื่อเกตุวดีเลย
“ผมไม่ได้ออกรับแทนใคร แต่ผมมีความเป็นคนมากกว่าคุณ แล้วผมก็ขอยื่นคำขาดกับคุณตรงนี้ด้วยว่าผมจะรับพัชรินทร์เป็นลูกบุญธรรม แล้วก็ไม่สนด้วยว่าคุณจะยอมหรือไม่ยอม เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านของผม ถ้าคุณไม่พอใจจะย้ายออกไปก็ตามใจ!” พูดจบเอกพจน์ก็เดินออกไปอย่างไม่สนใจว่าภรรยาจะโกรธเกรี้ยวมากแค่ไหน เพราะอีกเดี๋ยวเขาจะต้องออกไปร่วมประชุมกับราชทูตจากประเทศต่างๆ ที่ประจำอยู่ในประเทศไทยในฐานะที่ปรึกษาและเลขานุการประจำกระทรวงการต่างประเทศแทนรัฐมนตรีที่เดินทางไปต่างประเทศ
“คุณพจน์กลับมานี่นะ! มาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้! คุณพจน์! ฉันไม่ยอมนะ!” ภคพรยืนกระทืบเท้า ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองตามหลังสามีไปอย่างโมโห
“แก...อีนังตัวมารความสุข แม่แกตายไปแล้วยังจะมีแกมาเป็นมารหัวใจฉันอีก แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!” น้ำเสียงที่ลอดไรฟันออกมาแสดงถึงความอาฆาตแค้นชิงชังในตัวเด็กสาวอย่างที่สุด
กนกเนตรหรี่ดวงตามองตรงไปยังร่างบางที่นั่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงหลังคฤหาสน์ด้วยความเกลียดชัง ก่อนจะเดินเข้าไปกระชากตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลเก่าๆ ออกมาจากมือของอีกฝ่ายแล้วปาลงพื้น
“ยังมีหน้ามานั่งสบายอกสบายใจอีกนะย่ะ รู้ตัวหรือเปล่าว่าเป็นต้นเหตุให้พ่อกับแม่ของฉันทะเลาะกันจนบ้านแทบแตก เธอนี่มันตัวซวยจริงๆ!”
“ฉัน...” พัชรินทร์อ้าปากพูดอะไรไม่ออก เพราะเมื่อครู่เธอก็ได้ยินที่สองสามีภรรยาทะเลาะกัน ตอนแรกที่เธอก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นเพราะคิดว่าทุกคนในบ้านคงต้อนรับเธออย่างเต็มใจ แต่ทว่ามันตรงกันข้ามกับที่เธอคิด สายตาที่คุณภคพรกับบรรดาลูกๆ มองมาที่เธอมันมีแต่ความเกลียดชังจนเธออยากจะกลับไปอยู่ที่บ้านไม้หลังเก่าๆ ของเธอเสียตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
“ฉันทำไมย่ะ ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวและไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวของฉันล่ะก็ รีบไสหัวแกออกไปจากบ้านของฉันได้แล้ว ไป!” กนกพรจิ้มหน้าผากของเด็กสาวจนหงายหลัง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะยัยเนตร!” เสียงของบิดาที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้ผู้เป็นลูกสาวหยุดกึกลงราวกับถูกปิดสวิทซ์ ก่อนจะค่อยๆ หันมามองผู้เป็นบิดาอย่างแหยๆ ด้วยความกลัว ก่อนจะมองเลยไปที่นมแย้มซึ่งเดินตามหลังผู้เป็นบิดามา
“พ่อบอกแกแล้วใช่ไหมว่าพัชรินทร์คือน้องสาวของแก แกไม่ควรแสดงท่าทางแบบนี้ พ่อคิดว่าแกจะเข้าใจที่พ่อพูด แต่แกก็ได้เลือดแม่แกมาเต็มๆ” แววตาแห่งความผิดหวังฉายขึ้น เขาพร่ำสอนลูกๆ ทั้งสองคนอยู่เสมอว่าให้มีจิตใจเมตตาปรานีต่อผู้อื่น แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าหูของลูกๆ เอาเสียเลย
“มันไม่ใช่น้องสาวของเนตร เนตรเกลียดมัน มันทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะกัน เนตรเกลียดมัน เกลียดๆๆๆๆๆ!” เด็กสาวกรีดร้องใส่บิดาก่อนจะวิ่งร้องไห้กลับเข้าไปในบ้าน
“เฮ้อ...เลือดแม่แรงจริงๆ คงจะดัดอยากแล้วล่ะถ้าเมียของคุณเอกยังให้ท้ายและตามใจลูกอยู่แบบเนี่ย ระวังจะเสียคนนะคะ” นมแย้มส่ายหน้าอย่างระอาใจ เธอเป็นญาติห่างๆ แต่ก็เลี้ยงเอกพจน์มาตั้งแต่แบเบาะ แล้วก็ยังมาเลี้ยงกนกเนตรกับเอกภพอีก เธอจึงรู้นิสัยใจคอของเด็กทั้งสองดี
“นี่แหล่ะครับ ที่ผมหนักใจ” เอกพจน์หันไปถอนใจกับญาติผู้ใหญ่ที่ตนเองนับถือเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิด
“คุณลุงคะให้หนูกลับไปอยู่บ้านของหนูเถอะค่ะ” พัชรินทร์นั่งน้ำตาซึมด้วยสำนึกผิด ความวุ่นวายในบ้านที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเธอเพียงคนเดียวแท้ๆ
“หนูจะอยู่ได้ยังไงตัวคนเดียว ลุงไม่ปล่อยให้หนูไปเด็ดขาด แม่ของหนูฝากหนูไว้กับลุงแล้ว และนับจากนี้ไปให้เรียกลุงว่าพ่อ เพราะหนูคือลูกของพ่อ” เอกพจน์ประคองร่างบางลุกขึ้นพร้อมกับคลี่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เขารู้สึกถูกชะตาและรักเด็กสาวมากราวกับว่าเคยเป็นพ่อลูกกันมาจริงๆ
“แต่ว่าถ้าหนูอยู่ที่นี่ครอบครัวของคุณลุงก็จะไม่มีความสุขนะคะ” พัชรินทร์เสียงอ่อย เธอรู้ว่าเอกพจน์เป็นคนดี แต่เธอก็ไม่อยากให้คนดีๆ อย่างเขาต้องเดือดเนื้อร้อนใจ
“ไม่ต้องไปสนใจใครทั้งนั้นหนูพัช เราก็อยู่ส่วนของเรา เขาก็อยู่ส่วนของเขา ต่างคนต่างอยู่” นมแย้มเดินเข้ามาโอบไหล่บางของเด็กสาวเอาไว้ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันมาทางเอกพจน์
“ป้าจะให้ยัยหนูพัชไปอยู่กับป้าที่เรือนกล้วยไม้ ป้าบอกตามตรงนะว่าป้าไม่ไว้ใจเมียกับลูกๆ ของคุณเอกเลย กลัวจะขย้ำยัยหนูพัชเสียก่อนจะโตเป็นสาว”
“ผมก็คิดเหมือนกับป้าครับ ยังไงผมฝากป้าดูแลยัยพัชด้วยนะครับ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกผมโดยตรงนะครับ” เขารู้สึกเบาใจที่แม่นมของเขาเอ็นดูพัชรินทร์เหมือนกับเขา นมแย้มจะสามารถปกป้องพัช
รินทร์จากภคพรกับกนกเนตรได้ เพราะทุกคนในบ้านล้วนมีความเกรงใจและนับถือหญิงสูงวัยผู้นี้อยู่มาก
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ป้าจะดูแลหนูพัชให้เอง ไปทำงานให้สบายใจเถอะค่ะ” นมแย้มคลี่ยิ้มกว้าง เอกพจน์พยักหน้ารับพร้อมกับยกมือขึ้นขยี้ผมเด็กสาวอย่างหยอกล้อแล้วไปที่รถซึ่งจอดอยู่ที่หน้าบ้าน
“เดี๋ยวขึ้นไปเอากระเป๋าแล้วไปที่เรือนกล้วยไม้กันไปอยู่กับป้า ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายด้วย” นมแย้มหันมายิ้มให้เด็กสาว
“หนูกราบขอบพระคุณคุณป้านมแย้มมากนะคะที่กรุณาหนู” พัชรินทร์ยกมือขึ้นไหว้ผู้อาวุโสอย่างซาบซึ้ง
“มารยาทดีจริงๆ แม่คูณ” นมแย้มลากเสียงยาวพร้อมกับยิ้ม ก่อนจะพาขึ้นไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าบนตึกใหญ่ เด็กสาวคนนี้มีความน่ารักอยู่ในตัวเอง ทั้งกิริยามารยาทก็ถูกอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ผิดกับพวกลูกผู้ดีที่แทบจะไม่เห็นหัวคนแก่อย่างเธอเลย แล้วคอยดูกันต่อไปว่าใครมันจะได้ดีกว่าใคร สายตาคนแก่ที่ผ่านโลกมามากอย่างเธอดูไม่ผิดแน่ๆ...