บทที่ 4 พี่สาวแสนดี 1.1
จะมีเพียงคนเดียวที่ไม่มีเสียงใดลอดออกจากปาก เพราะพรวิภารู้ดีว่า คำพูดของหล่อนอาจทำให้คนเป็นย่าอารมณ์เสีย ได้แต่นั่งฟังคำสนทนาที่หล่อนเองก็รู้ดีว่า สถานะทางบ้านเป็นเช่นไร แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือได้อย่างไร
“ผมกลับก่อนนะครับคุณแม่” อนุชินพนมมือไหว้มารดา สามแม่ลูกยกมือไหว้บ้าง แล้วพากันเดินออกจากห้อง
“คุณพ่อจะหาเงินจากที่ไหนมาจ่ายค่ารักษาตัวให้คุณย่าคะ ปริมว่าเลยแสนแน่ๆ” พรเทวีถามบิดาด้วยความเป็นห่วง
“ก็ต้องหาเอา ทำไงได้ล่ะ” อนุชินตอบคำถามลูกสาวคนเล็กไม่ได้ เพราะตอนนี้เส้นทางการหาเงินของเขาก็ตันทุกที่ มีแต่หนี้สิน รายได้ที่เข้ามาก็ไม่เพียงพอ
“ฉันไม่รู้จะขายอะไรแล้วนะคะคุณพี่ ขายจนหมดแล้วที่เหลือก็ของชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ได้ราคาหรอกค่ะ” เปรมสุดาทุกข์ไม่ต่างกับสามี
“ปริมก็ไม่มี ให้ทองคำแท่งชิ้นสุดท้ายไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ปริมก็หมดแล้วค่ะ” พรเทวีได้มาจากบิดามารดาและคนเป็นย่าเยอะ ทว่าพอครอบครัวเดือดร้อน หล่อนก็ให้ไปตนหมด ไม่มีเหลือติดตัวเลยสักชิ้น
“เดี๋ยวพ่อหาเอง รีบกลับบ้านไปนอนเถอะ พ่ออยากพักเหลือเกิน เหนื่อยเต็มที” อนุชินพูดจบก็ถอนหายใจพรืดยาว หนักอกหนักใจเป็นที่สุด ขับรถกลับบ้านไปก็คิดไปว่า จะทำอย่างไรดี จะหาเงินจากไหนมาเป็นค่ารักษาพยาบาลคนเป็นแม่
ตลอดทางกลับบ้าน พรวิภานึกถึงเรื่องที่บิดากลัดกลุ้ม หล่อนคิดหาทางช่วยอนุชินให้พ้นจากความทุกข์เรื่องค่ารักษาพยาบาลประภาวดี เพราะเรื่องอื่นที่อนุชินแบกรับไว้ก็หนักเกินพอแล้ว
พอกลับถึงบ้าน ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้องส่วนตัว ห้องของอนุชินกับเปรมสุดา และของพรเทวีอยู่ชั้นบนของบ้าน ทว่าห้องนอนลูกสาวคนโตของบ้านอย่างพรวิภากลับอยู่ด้านหลังของบ้าน เป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กที่เล็กจริงๆ มีห้องโถงด้านนอกที่มีความกว้างเพียงสิบตารางเมตร และมีห้องนอนขนาดยี่สิบตารางเมตรอีกหนึ่งห้อง บ้านหลังนี้มีเนื้อที่พอๆ กับห้องชุดในคอนโดมิเนียม แต่หล่อนก็พอใจกับบ้านหลังนี้ เพราะดีกว่าให้ตนไปอยู่เรือนคนใช้ อีกทั้งบ้านหลังนี้คนเดียวที่รักตนเป็นคนสร้างให้ คนนั้นคืออนุชา วัฒนะเดชา ปู่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
มือเรียวเปิดลิ้นชักหัวเตียง หยิบกล่องไม้ที่คล้องด้วยลูกกุญแจดอกเล็กออกมาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง ไขกุญแจเพื่อให้ลูกกุญแจคลายออก เมื่อเปิดกล่องหล่อนหยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งออกมาเปิดดู
“คุณปู่ขา พรีมขอเอาเงินก้อนนี้ไปให้คุณพ่อนะคะ”
เงินจำนวนนี้อนุชามอบให้ตนก่อนเสียชีวิตหนึ่งเดือน ตอนนั้นหล่อนเรียนอยู่ชั้นปีสาม ระดับปริญญาตรี จำนวนเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท อนุชาบอกตนว่า ให้เก็บเงินก้อนนี้ไว้เป็นทุนในระหว่างเรียน เพราะอนุชารู้ดีว่า หากตนเสียชีวิต พรวิภาอาจไม่ได้เรียนหนังสือจนจบชั้นปริญญาตรี เขาจึงให้เงินป้านอมไว้ห้าหมื่นบาทไว้จ่ายค่าเทอมให้พรวิภาสองเทอม อนุชาจะได้สบายใจว่า หลานรักเรียนจบแน่นอน
ทว่าพรวิภาไม่เคยใช้เงินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทเลย หล่อนเป็นขยันและรู้ตัวว่า ตนเองไม่ใช่ลูกและหลานรักของบ้านหลังนี้ หล่อนจึงหางานพิเศษทำวันเสาร์อาทิตย์ และช่วงปิดเทอม รายได้จากส่วนนี้ก็เก็บไว้ใช้ระหว่างการศึกษา เงินที่อนุชาให้มาจึงอยู่ครบแถมยังได้ดอกเบี้ยอีกสามปี
“คุณปู่อย่าโกรธพรีมนะคะ พรีมสงสารคุณพ่อค่ะ”
พรวิภาพูดกับรูปถ่ายอนุชาที่วางไว้บนโต๊ะหัวเตียง ยกมือไหว้ก่อนเดินออกจากห้องเพื่อไปหาน้องสาว
“มีอะไรพี่พรีม” น้องสาวถามอย่างแปลกใจที่รู้ว่า ใครเป็นคนเคาะประตู พรวิภาไม่ตอบ รีบเดินเข้าไปในห้องพรเทวี
“พรุ่งนี้ปริมไปธนาคารกับพี่นะ ไปเบิกเงินมาให้คุณพ่อ”
“เงินอะไรพี่พรีม” พรเทวีถามอย่างสงสัย
“เงินพี่เอง คุณปู่ให้พี่ไว้ก่อนท่านเสีย” พรวิภาส่งสมุดบัญชีให้น้องสาว พรเทวีเปิดสมุดดูตัวเลขแล้วตาโต
“แสนห้า”
“คุณปู่ให้พี่ไว้ เพราะท่านกลัวว่าพี่จะเรียนไม่จบ”
“คุณปู่ให้พี่พรีมก็เก็บไว้เถอะ ในบ้านนี้มีคุณปู่คนเดียวที่ให้พี่ พี่ควรเก็บไว้นะ” พรเทวีบอกพี่สาว
“พี่เรียนจบแล้ว มีงานทำแล้ว พี่ไม่เดือดร้อนหรอก แต่คุณพ่อกำลังเดือดร้อน เอาเงินนี้ไปให้คุณพ่อนะ แล้วอย่าบอกล่ะว่าพี่ให้ บอกว่าปริมให้หรือยืมเพื่อนมาก็ได้”
“ทำไมถึงไม่ให้บอกล่ะว่าเงินนี้เป็นของพี่พรีม บอกคุณพ่อบางทีคุณพ่ออาจมองพี่ในทางที่ดีขึ้นนะ” น้องสาวถามกลับ
“ถ้าบอกเรื่องมันจะยาวน่ะสิ เดี๋ยวก็มาด่าพี่อีกหาว่าพี่ไปอ้อนขอเงินคุณปู่ อาจตีพี่ด้วย แล้วอาจคิดว่าคุณปู่ให้พี่มากกว่านี้ พี่ว่าบอกตามที่พี่ให้บอกดีกว่า” พรวิภาบอกเหตุผล
“มันก็จริง” พรเทวีเห็นด้วย “เอาตามที่พี่พรีมว่าก็ได้ ว่าแต่พี่ไม่เสียดายเงินก้อนนี้เหรอ พี่เก็บไว้ใช้ส่วนตัวได้เลยนะ”
“ไม่เสียดายหรอก พี่ไม่ตายก็หาใหม่ได้ พี่ไม่อยากให้คุณพ่อเป็นหนี้เพิ่ม แค่ที่เป็นหนี้อยู่ตอนนี้ก็มากพอแล้ว” แม้ว่าคนพูดเป็นลูกที่ไม่ถูกรัก ทว่าหล่อนก็รักและบูชาบิดามารดาเสมอ “ปริมเก็บสมุดบัญชีไวนะ พรุ่งนี้เราไปธนาคารด้วยกันสักเก้าโมงเช้า ตอนเช้าปริมก็บอกคุณพ่อไว้เลยว่า หาเงินได้แล้วกำลังไปเอา คุณพ่อจะได้ไม่ต้องหา”
พรเทวีมองหน้าพี่สาวด้วยความรู้สึกสงสาร พรวิภาคือลูกชังทั้งที่เป็นลูกสาวคนโต เกิดก่อนตนสองนาที แต่ก็ไม่เข้าใจว่า บิดามารดาและคุณย่ามีเหตุผลอะไรถึงได้จงเกลียดจงชัง พรวิภานัก หล่อนเคยถามแต่ก็ไม่ได้คำตอบ แม้ว่าถูกเกลียดชังทว่าพรวิภาไม่เคยเกลียดบิดามารดา ตรงกันข้ามกลับกตัญญู หากเป็นหล่อน คงไม่ทนอยู่ที่นี่แน่นอน
บางครั้งพรเทวีก็คิดว่า สักวันหนึ่งพรวิภาจะหลุดพ้นไปจากความเกลียดชัง เป็นลูกรักที่บุพการีให้ความรักและความอบอุ่นอย่างหล่อนบ้าง หรือไม่ก็เจอบุรุษที่มอบความรัก ความเอาใจใส่และความอบอุ่นให้พี่สาวของตน หล่อนหวังให้ถึงวันนั้นเร็วๆ