บทที่ 1 แรกพบ 1
งานเลี้ยงเปิดตัวคอนโดเทอมินอล คอนโดสุดหรูใจกลางทองหล่อราคาต่ำสุดอยู่ที่สี่สิบล้านบาท สองร้อยห้าสิบล้านคือราคาสูงสุด แน่นอนว่าบุคคลที่มาร่วมงานคือคนมีชื่อเสียงในทุกแขนง รวมถึงชาวต่างชาติจากหลายเชื้อชาติต่างมาร่วมงานด้วย หนึ่งในนั้นคือ ชีคจาฟาห์ อินกาซิม อินซาเหม็ด ราซิมสุไลลา ชีคหนุ่มจากประเทศจามาล ประเทศปกครองตนเองที่มีทรัพยากรน้ำมันและทองคำเป็นอันดับสองของโลก และเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความร่ำรวยเป็นอันดับสามของโลก
ชีคจาฟาห์ไม่ได้มาเมืองไทยเพราะงานเปิดตัวคอนโดหรู เขามาติดต่อธุรกิจในแถบเอเชียรวมๆ แล้วสี่ประเทศ ประเทศไทยเป็นประเทศสุดท้าย ก่อนบินกลับจามาลในอาทิตย์หน้า
ธุรกิจของจาฟาห์มีหลายอย่าง ในจามาลธุรกิจน้ำมันและทองคำคือแหล่งรายได้มหาศาล ทำแค่นี้เขาก็มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต และทรัพย์สินยังเผื่อแผ่ไปให้ลูกหลานในอนาคตไว้ใช้อีกหลายอายุคน ทว่าเขาต้องการให้ทุกคนได้เห็นถึงความสามารถของตน ที่ไม่ใช่การอาศัยธุรกิจของครอบครัวใช้กินเพียงอย่างเดียว เขาจึงทำให้เงินที่มีอยู่งอกเงยเพิ่มพูนอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
ธุรกิจของชีคจาฟาห์ ณ ปัจจุบันมีมากกว่าสิบธุรกิจ ทั้งในแบบลงทุนเองและหุ้นส่วน ในประเทศไทยเขาลงทุนอยู่สามอย่างคือ ร้านจิวเวอรี่ หุ้นส่วนโรงแรมอารียา ภูเก็ต เชียงใหม่และกรุงเทพมหานคร อีกหนึ่งอย่างคือธุรกิจให้เช่าตู้เรือขนสินค้าและตู้คอนเทรนเนอร์
คอนโดแห่งนี้ชีคจาฟาห์ซื้อหนึ่งห้องในราคาสองร้อยยี่สิบสองล้านบาท เป็นเศษเงินที่เจียดมาซื้อที่อยู่อาศัยสุดหรูระหว่างเขาเดินทางมาประเทศไทย ภายในห้องชุดห้องนั้นแบ่งออกเป็นห้องนอนสามห้อง ห้องครัว ห้องโถงใหญ่และมีระเบียงที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว เขาจึงถูกเชิญมาร่วมงานเปิดตัววันนี้ด้วย
และอีกหนึ่งครอบครัวที่ถูกเชิญมาร่วมงานคือ ครอบครัววัฒนะเดชา ที่วันนี้มากันพร้อมหน้าพร้อมตาสี่คนพ่อแม่ลูก ประกอบด้วยอนุชิน เปรมสุดา พรวิภาและพรเทวี ลูกสาวฝาแฝด อนุชินเป็นบุตรชายคุณหญิงประภาวดี สตรีวัยเจ็ดสิบสองปี บุคคลที่ขึ้นชื่อเรื่องเจ้ายศเจ้าอย่าง ถือตัวว่าเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลจึงเหยียดหยามคนที่ด้อยกว่าเสมอ และที่สำคัญชอบทำบุญเอาหน้า
“นังพรีม แกอย่าทำให้ฉันขายหน้านะ ถ้าไม่ติดว่าคุณหญิงนีให้แกมาด้วย ฉันไม่เอามาให้เปลืองที่ในรถหรอก”
อนุชินพูดกับลูกสาวคนโตที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ค่ะคุณพ่อ” พรวิภารับคำเสียงเบา
“ที่จริงแล้วบอกคุณหญิงนีไปว่า มันป่วยก็สิ้นเรื่องนะคะ จะได้ไม่ต้องให้มันมา” เปรมสุดาพูดเสริม
“คุณพ่อคุณแม่เลิกพูดแบบนี้ซะทีเถอะค่ะ ถ้าไม่อยากให้พรีมมาตั้งแต่แรกก็ไม่น่าให้มา พอมาก็มาต่อว่ากันอย่างนี้ ปริมรำคาญ” พรเทวีลูกสาวฝาแฝดคนเล็กพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “แล้วก็เลิกทำตัวเป็นนางเอกได้แล้ว มางานเปิดตัวคอนโดหรูนะไม่ใช่มางานศพถึงได้ร้องไห้”
ก่อนหันไปต่อว่าพี่สาวฝาแฝด “แต่งหน้ามาดีๆ ร้องไห้น้ำตาไหลก็เป็นคราบหมด ไป ไปเข้าห้องน้ำ ฉันจะซับหน้าให้ คุณพ่อคุณแม่เข้าไปในงานก่อนนะคะ เดี๋ยวปริมกับพี่พรีมตามไปค่ะ”
พรเทวีเดินจูงมือพี่สาวไปยังห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด พอทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องน้ำ เสียงของพรเทวีก็ดังขึ้น
“พี่พรีมอย่าร้องไห้ให้คุณพ่อคุณแม่เห็นอีกนะ อย่าแสดงความอ่อนแอให้ท่านเห็น ยิ่งเห็นก็ยิ่งพูดแรงๆ ใส่ ไม่เจ็บไม่จำบ้างหรือไง”
น้ำเสียงที่พูดไม่ได้กระด้างเหมือนตอนแรก ฟังแล้วรู้ได้ทันทีว่า พรเทวีรักและเป็นห่วงพี่สาวฝาแฝด แต่ที่พูดแบบนั้นต่อหน้าบิดามารดาเป็นเพราะไม่ต้องการให้ท่านรู้ว่า ตนไม่ได้เกลียดพรวิภาตามที่ถูกเสี้ยมมาตั้งแต่เด็ก
“น้ำตามันไหลเอง พี่บังคับมันไม่ได้” พรวิภาตอบน้องสาวที่หยิบแป้งตลับออกมาจากกระเป๋า แล้วซับใบหน้าให้พี่สาว
“แต่งหน้ามาสวยๆ ดูสิเลอะหมดเลย เดี๋ยวปริมจะทำให้พี่พรีมสวยเหมือนเดิม” พรวิภายิ้มให้น้องสาวฝาแฝดที่ซับหน้าให้ตน “อ่ะ เสร็จแล้ว”
“ขอบใจมากนะปริม” พรวิภาส่องกระจกดูใบหน้าตนเองในกระจกเงา ยิ้มให้น้องสาวที่หน้าตาเหมือนหล่อนราวกับพิมพ์เดียวกัน หากคนอื่นเห็นก็จะแยกกันไม่ออกว่าใครคือใคร