บทนำ เด็กหนุ่มผู้หลงทาง
บทนำ เด็กหนุ่มผู้หลงทาง
กลางดึกสงัดในค่ำคืนฤดูหนาว ทว่ากลับมีสายฝนโปรยปราย ราวกับมันรับรู้ได้ว่าหัวใจของใครบางคนกำลังแตกสลาย ทางเดินคอนกรีตลาดยาว มีเพียงแสงสลัวจากเสาไฟที่สาดส่องไปตลอดแนวตรอกซอกซอย
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่เดินย่ำพื้นที่มีแอ่งน้ำขังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนเสียงนั้นจะเปลี่ยนเป็นการลากเท้าอย่างช้า ๆ และหยุดลง ณ สถานที่หนึ่ง
ร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งในชุดแจ็กเกตหนังสีดำ กำลังยืนหอบแฮ่ก เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่เขาจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นถอดหมวกแก๊ปบนศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อิดโรย ดวงตาแดงก่ำ กับใบหน้าที่คาดว่าน่าจะคมสันที่เริ่มมีหนวดเคราขึ้นบาง ๆ ตามวัยของเด็กหนุ่ม
เขาใช้ลำแขนข้างเดียวกันดันประตูบานพับเข้าไปยังด้านใน เพื่อหาไออุ่นให้แก่ร่างกาย ภายในเป็นบาร์ขนาดเล็ก มีผู้คนนั่งอยู่ให้เห็นบางตา ทว่าเสียงจอแจของพวกเขาดังกว่าเสียงดนตรีที่กำลังเปิดคลออยู่เสียอีก
“ออนเดอะร็อค แก้วหนึ่ง”
ร่างสูงสั่งสิ่งที่ต้องการทันที เมื่อนั่งลงตรงตำแหน่งเคาน์เตอร์บาร์
“เฮ้ย ไอ้หนู ที่นี่ไม่รับลูกค้าที่ยังเป็นเด็กนะเว้ย กลับบ้านไปซะ!”
บาร์เทนเดอร์ร่างยักษ์ชะโงกหน้าเข้าใกล้ พร้อมเอ่ยเตือน
“อย่ามาเรียกผมแบบนั้น เพราะผมโตพอที่จะคิดเองได้แล้ว”
ดวงตาแดงก่ำแต่วาวโรจน์จ้องเข้าไปในนัยน์ตาคมดุของชายร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างไม่เกรง ก่อนที่เขาจะพูดประโยคต่อไป
“....ผมไม่มีบ้านให้กลับ!”
“......ร้านเราปิดเที่ยงคืน ก่อนร้านฉันจะปิด แกรีบไสหัวออกไปซะ”
กึก!
แก้วน้ำสีอำพันมาวางตรงหน้าชายหนุ่มทันทีที่บาร์เทนเดอร์พูดจบ เขาจ้องมองมันอยู่เพียงครู่ก่อนจะหยิบมันขึ้นกระดกพรวด ดวงตาคมหรี่เล็กน้อยเมื่อความแสบขมของมันแล่นผ่านหลอดลมลงไป
เริ่มดึกผู้คนก็เริ่มหนาตากว่าในทีแรก เสียงอึกทึกของคนขี้เมาจอมอวดดังขึ้นอย่างน่ารำคาญ ทว่าเสียงที่เรียกความสนใจและสติอันหลุดลอยของเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ นั่นคือเสียงของคนผู้หนึ่ง ที่กำลังเล่าบางอย่างอย่างออกรสออกชาติ
“เฮ้ย เรื่องที่ไอ้หมาบ้าคลอฟท์ มันถล่มกับพวกตะวันออก ก่อนที่มันจะไปจัดการโจนาธานและเผาเขตปกครองพิเศษ เรื่องจริงว่ะ ดูท่ามันจะขึ้นครองฟีนิกซ์แล้วละมั้ง”
“โชคดีนะเนี่ย ที่พวกเราอยู่ที่เขตปกครองตนเอง ไม่งั้นจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้”
“จะเหลือเหรอวะ ขนาดพวกตะวันออกมีกันตั้งกี่คนยังเละเทะ หนีตายหัวซุกหัวซุน บ้านหยวนไอ้คนพวกนี้ก็ดีแต่ปาก ดีที่เกิดมาร่ำรวยแค่นั้นจริง ๆ ว่ะ ผู้นำมันมีลูกชายตั้งกี่คน..ไม่เห็นได้เรื่องสักคน ไอ้คนโตกับไอ้คนเล็กก็หนีเอาตัวรอดออกจากเมืองไปแล้ว ได้ข่าวว่าแบรี่กลัวตาย กลัวเสียอำนาจ ถึงขั้นเอาลูกสาวใส่พานถวายให้ไปบำเรอกามไอ้คลอฟท์ถึงที่”
เพล้ง!
โอ๊ยยย!
ไม่ทันที่พวกมันจะได้เล่าต่อ เสียงขวดแก้วแตกก็ดังขึ้น พร้อมเสียงโอดครวญของชายร่างโตที่ล้มฟุบลงไปกองกับพื้น เพียงเท่านั้นวงเหล้าก็แตกฮือราวฝูงผึ้ง คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ถอยกรูเพื่อคอยสังเกตการณ์หรือถ้าจะพูดให้ถูก อยู่เพื่อเป็นกองเชียร์เสียมากกว่า
ชายหนวดเฟิ้มไม่ทันจะได้เงยหน้า หัวรองเท้าบูตก็เสยเข้าที่ปลายคางของมัน พร้อมกำปั้นหนักรัวอีกหลายที แต่ก่อนที่ชายหนุ่มเลือดร้อนจะได้สวนหมัดซ้ำลงไปอีกครั้ง ชายฉกรรจ์อีกสามสี่คนก็เข้ามาขวางแล้วจับตัวเขาแยก
“ไอ้อ่อน มึงเล่นผิดคนแล้ว หย่านมแม่ไม่ทันไร ก็วอนอยากตายแล้วสินะ”
หนึ่งในนั้นตวาดเสียงกร้าว สายตาดุดันหมายเอาชีวิต
“อย่ามาเห่าถึงครอบครัวคนอื่น พูดถึงน้องสาวกูแบบนี้อีก!”
เสียงที่เต็มไปด้วยความเมาตวาดกลับออกไปอย่างเดือดดาล สายตาของเขามองขวางอย่างคนที่พร้อมจะแลก ทั้ง ๆ ที่สองขาแกร่งเริ่มยืนไม่ตรง และในจังหวะทีเผลอนั่นเอง เสียงของการเอาคืนก็ดังขึ้น
เพล้ง!
ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ ล้มลงไปกับพื้น มือหนายกจับเข้าที่ท้ายทอยของตัวเอง เมื่อรับรู้ได้ถึงความชื้นหนืดที่ไหลซึม ชายหนุ่มพยายามเอี้ยวตัวมองหาไอ้ตัวการที่ทำเขาบาดเจ็บ แต่ทันใดนั้น ทั้งหมัด ทั้งเข่า และหน้าแข้ง ของคนหลายคนก็พุ่งใส่รัวลงบนร่างของเขา ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนในบาร์
พลั่ก ตุบ ตับ อุก โอ๊ย ~
ปัง!
เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น จากนั้นความโกลาหลก็หยุดลง ทุกสายตาหันมาทางเจ้าของกระบอกปืน
“ถ้าจะตีกัน ออกไปตีกันข้างนอก ไม่ใช่ที่นี่”
เสียงกร้าวพร้อมสายตาวาวโรจน์ที่จ้องมองไป ทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์ต้องยอมปล่อยร่างของเด็กหนุ่มที่สภาพสะบักสะบอม ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด ก่อนที่พวกมันจะพากันออกจากร้านไป
ตุบ! โอ๊ะ!
มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มค่อย ๆ ยกขึ้นจับหัวไหล่ของตนเองด้วยความเจ็บปวด ขณะที่นอนงอร่างอยู่ตรงพื้นทางเดิน ชายร่างใหญ่ผู้เป็นเจ้าของร้านเก็บปืนในมือเข้าที่เอวพร้อมส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะส่งสัญญาณให้ลูกน้องหิ้วเด็กหนุ่มออกจากร้านไป
นอกร้าน
ใบหน้าเหยเกที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเหนียว พยายามแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดสนิท เพื่อให้สายฝนที่ยังโปรยปรายช่วยชะล้างคราบเลือดที่ปิดเปลือกตาทั้งสอง ขณะที่แขนทั้งสองข้างของเขาถูกหอบหิ้วด้วยชายร่างสูงสองคน ก่อนที่พวกมันจะโยนร่างของเด็กหนุ่มไว้ตรงตรอกเล็ก ๆ ข้างถังขยะ
แค่ก แค่ก แค่ก ~
ขณะที่เด็กหนุ่มขดตัวงออยู่ หูของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งที่กำลังเดินกึ่งวิ่งใกล้เข้ามา เขาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะยกเปลือกตาขึ้นหรือเปิดปากเอ่ยร้องขอความช่วยเหลือ
แค่ก แค่ก แค่ก ~
ทว่า.....
เสียงฝีเท้าที่กำลังจะเดินผ่านพ้นเขาไป กลับหยุดก้าวเดิน ทุกอย่างเงียบลงในเสี้ยววินาที มีเพียงเสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบพื้นคอนกรีต และไอเย็นที่พัดผ่านผิวกายเท่านั้นที่เขายังรู้สึก
กึก กึก
เสียงของรองเท้าส้นสูงก้าวถอยกลับมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะรับรู้ได้ว่ามีเงามืดของใครบางคนบดบังตัวเขา ทว่าดวงตาที่ปูดโปนมันเจ็บเกินกว่าที่เขาจะลืมตาตื่นขึ้นมองได้
“พระเจ้า ใครทำคุณแบบนี้เนี่ย คุณ คุณ ได้ยินฉันมั้ยคะ”
มืออุ่นคู่หนึ่งเอื้อมมาเขย่าที่ตัวของเขาอย่างแผ่วเบา ราวกับเกรงว่าร่างเขาจะบุบสลาย
“คุณ...คุณคะ”
“ชะ ช่วย ด้วย”
“โอ้ พระเจ้าคุณยังไม่ตาย ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันจะช่วยคุณเอง”
ชายหนุ่มพยายามหรี่ตาขึ้นมอง เบื้องหน้าเขาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งรางๆ ที่กำลังหันซ้ายแลขวา เหมือนกับว่ากำลังมองหาความช่วยเหลือ
“ป่านนี้แล้ว ใครมันจะออกมาเตร็ดเตร่เหมือนเรากันล่ะ”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมาพยายามใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจประคองร่างของคนตัวสูงขึ้นหลังของตนเอง
“อึ๊บ โอ๊ะ หนักเป็นบ้าเลย คุณ คุณ อย่าเพิ่งหลับนะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปหาหมอเอง”
สองขาเรียวพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน เธอแบกเขาลากเดินไปตามทางที่คุ้นเคย โดยมีปลายเท้าของคนตัวสูงลากยาวมาตลอดทาง ปากเล็กก็พยายามเรียกรั้งเขาไว้ตลอดเวลา
“คุณอย่าเพิ่งหลับนะ ใกล้ถึงแล้ว เอ่อ..คุณชื่ออะไรคะ”
“......”
“เฮ้...บอกว่าอย่าหลับไง ตอบฉันมาก่อน ว่าคุณชื่ออะไร”
“อ... ออ”
“ห๊ะ ออ ออ อะไร!”
“อ อะ อะ อดัมมม”
“อดัม?”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา หญิงสาวใจสั่นระรัวด้วยกลัวว่าคนบนหลังของตนจะไม่รอด หล่อนเอียงหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ยับเยินเต็มไปด้วยบาดแผล ลำแขนแกร่งของเขาที่พาดโอบเธอลงมา ข้างหนึ่งมีเลือดสีแดงสดไหลซึม เด็กสาวพยายามเร่งฝีเท้าเท่าที่กำลังของตัวเองมี ดวงตากลมสั่นระริกพยายามเพ่งมองไปยังจุดหมายปลายทางข้างหน้า
“อดัม..คุณทำใจดี ๆ ไว้นะ พวกเราใกล้จะถึงแล้ว”