บทที่ 4 ผมขออยู่ด้วยคน 2
มาเรียยิ้มให้เธออีกครั้งก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้เธอยืนเคว้งคว้างอยู่ต่อหน้าบุคคลที่เธอไม่เคยคุ้น เท้าเล็กๆก้าวเข้ามาในห้องอาหาร ยืนก้มหน้านิ่ง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสินค้าสักชิ้นหนึ่งที่กำลังโดนคนพวกนี้มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเพื่อประเมินราคา
“มาสายนะ” เสียงยโสดังขึ้นทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด แต่ในความรู้สึกของมัสลินแล้ว เธอกลับยิ่งรู้สึกแย่มากกว่าตอนที่ไม่มีคนปริปากพูดอะไรออกมาเสียอีก
“ขอโทษค่ะ”
“ฉันรอเธอมาตั้งเกือบสิบนาที เธอคงรู้ใช่มั้ย” เสียงของผู้หญิงคนเดิมยังคงพูดต่อไป ทำให้มัสลินต้องเงยหน้าขึ้นมองคนพูด
ผู้หญิงคนนี้นับว่าสวยเลยทีเดียว แต่งหน้าจัดจ้าน สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์เหมือนนางฟ้า แต่สายตาของเจ้าหล่อนช่างดูเหมือนนางมารร้ายไม่มีผิด
“พอเถอะรีน่า เขาเพิ่งมาอยู่ คงยังไม่รู้กฎเกณฑ์ของที่นี่” เสียงของราชิตดุจระฆังช่วยชีวิตมัสลินเอาไว้
“มานั่งสิ เออ…ว่าแต่ว่าคุณชื่ออะไร” เขาถามเหมือนเพิ่งนึกได้ มือใหญ่เลื่อนเก้าอี้ข้างๆตัวเขาออกเพื่อให้เธอมานั่ง ทำให้เธอคลายความประหม่าลงไปได้บ้าง แม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม
“มัสลินค่ะ” เธอตอบห้วนๆพร้อมเดินมาทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ที่ชายหนุ่มเลื่อนให้
“มัสลิน…ชื่อเพราะดีนะ” เขาชม แต่เธอไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอรู้สึกอึดอัดกับสายตาของทุกคู่ที่กำลังจับจ้องมองมาที่เธอราวกับจะสแกนให้ถึงเนื้อใน
“คนนี้ชื่อรินนภา แต่เขาชอบให้ใครๆเรียกว่ารีน่า” ชายหนุ่มผายมือไปทางสตรีปากคอเราะร้ายที่เพิ่งค่อนแคะมัสลินไปเมื่อครู่
“คนนี้ชื่อว่าเรวัตร เรียกว่าเรเฉยๆก็ได้ครับ” ราชิตชี้มือไปทางผู้ชายวัยยี่สิบต้น ใบหน้านับว่าหล่อเหลาทีเดียว เพียงแต่ว่าไม่หล่อเท่าราชิต
“คนนี้ชื่อ รันดา เรียกว่ารันสั้นๆก็ได้” เขาผายมือไปทางสตรีฝั่งตรงข้าม ซึ่งคนนี้มีทีท่าเรียบร้อยมากกว่าทุกคน ดวงตาสีน้ำเงินดูจะเรียบราบ กิริยาท่าทีก็อ่อนช้อยผิดกับรินนภาเสียลิบลับ
และสิ่งที่มัสลินเห็นว่าแปลกก็คือ…ดวงตาของทุกคนเป็นสีน้ำเงินเข้มเหมือนกันหมด!
“พวกเขาเป็นน้องของผม…สายเลือดเดียวกัน ยกเว้นรีน่าที่เป็นพี่สาว เดือนหน้าก็จะอายุครบยี่สิบห้าปีแล้ว” ราชิตอธิบายราวกับรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“พ่อผมเป็นชาวยุโรป แต่แม่ผมเป็นคนไทย ความที่รักเมืองไทยทำให้ตั้งชื่อลูกๆเป็นไทยอย่างที่คุณเห็นนี่แหละ” เขาขยายความต่อ ก่อนจะหันไปมองอาหารฝรั่งเศสที่วางเรียงรายเต็มโต๊ะอาหารแล้วบอกมัสลินว่า
“อาหารฝรั่ง ไม่รู้ว่าคุณจะทานได้หรือเปล่า ผมรู้มาว่าคนไทยนิยมอาหารรสชาติจัดจ้าน” ราชิตชวนคุย ในขณะที่คนอื่นๆก้มหน้าก้มตาทานอาหารไปอย่างเงียบๆโดยไม่มีใครคิดจะเปิดปากสนทนากับเธอสักคน
“ฉันทานได้ทั้งนั้นแหละค่ะ”
“ครับ งั้นก็ทานสิ” เขาบอกเรียบๆก่อนจะก้มหน้าตักอาหารเข้าปากราวกับจะยุติการพูดคุยกับเธอลงเพียงเท่านั้น
มัสลินฝืนตักอาหารทานไปได้แค่ไม่กี่คำ เธอก็รู้สึกอิ่ม เหลือบตามองคนอื่นๆก็เห็นว่าเรวัตรเองก็อิ่มแล้วเช่นกัน เขารวบช้อนส้อมไว้อีกมุมหนึ่งของจาน ก่อนจะยกน้ำขึ้นจิบ และในช่วงเวลานั้นเองที่ดวงตาเรียวสีน้ำเงินของเรวัตรสบเข้ากับดวงตากลมโตดำขลับของเธอเข้าพอดี
ชั่ววินาทีสั้นๆ เรวัตรก็มองเมินไปทางอื่นเสมือนว่าเธอไร้ตัวตน ทำให้เธอนึกฉุนขึ้นมาทันที…ผู้ชายอะไร หยิ่ง นึกว่าตัวเองหล่อนักหรือไง!
“อิ่มไวจังนะ ไหนๆก็จะได้กลับบ้านแล้ว คุณน่าจะทานให้เยอะกว่านี้” ราชิตพูดขึ้น
“คุณจะส่งฉันกลับบ้านจริงๆเหรอคะ” คราวนี้มัสลินหันไปมองหน้าราชิตด้วยสายตาแห่งความหวัง
“อือ” เขาพยักหน้า แต่ตาไม่ยอมหันมามองหน้าเธอเลยสักนิดเหมือนเขามีอะไรให้คิดอยู่ในใจ
“ขอบคุณนะคะ”
“อือ” เขาพยักหน้ารับรู้อีกครั้งจนเธอชักจะหงุดหงิด
“คุณกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเหรอไงคะ พูดน้อยซะขนาดนี้”
“ดอกพิกุล? พูดอะไรของคุณ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของเธอ
“ไม่เคยอ่านหนังสือเรื่องพิกุลทองเหรอคะ เคยถูกเอามาสร้างหนังด้วยนะ”
“ไม่เคย” ราชิตปฏิเสธสั้นๆ
“รีน่ากินเสร็จแล้วค่ะ ขอตัว” รินนภาพูดพร้อมกับลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องอาหารเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง
“ผมก็อิ่มแล้ว” เรวัตรลุกขึ้นบ้างแล้วหายตัวไปจากห้องอาหารอีกคน
“คุณทานได้น้อยจังนะคะ” รันดาพูดกับมัสลินด้วยท่าทางเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความจริงใจ
“ไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ”
“อาหารไม่ถูกปากเหรอคะ” รันดาถาม ในขณะที่ราชิตเป็นฝ่ายตอบแทนว่า
“มัสลินชอบทานปลาร้าน่ะ แต่อาหารบนโต๊ะไม่มีปลาร้า เธอเลยกินข้าวไม่ค่อยได้”
“รู้ดีจังนะคะ” มัสลินค่อนแคะ
“ผมรู้ใจคุณใช่มั้ยล่ะ”
“รู้จักปลาร้าด้วยเหรอคะ”
“รู้จักสิ แม่ผมเคยเล่าให้ฟัง ที่เขาเอาปลาเน่ามาทำใช่มั้ยล่ะ ไม่รู้ว่ากินกันเข้าไปได้ยังไง”
“ก็ใส่ปากแล้วกลืนลงไปไงคะ” เธออธิบาย แต่เขากลับตีหน้าบึ้งใส่เธอ
“อย่ากวนผมได้มั้ย ผมเครียด”
“ฉันก็เห็นคุณทำหน้าเครียดแบบนี้ตลอดอยู่แล้วนี่คะ”
“ยิ่งเห็นหน้าคุณ ผมก็ยิ่งเครียด”
“งั้นคุณก็ส่งฉันกลับไวๆสิคะ”
“ผมชอบลีลา อีกสองเดือนค่อยส่งคุณกลับ” เขาบอกพร้อม ยักไหล่ด้วยท่าทียียวน
“อะไรนะ!! สองเดือน คุณจะบ้าหรือไงคะคุณราชิต”
“ไม่ได้บ้า ผมยังปกติดีทุกอย่าง”
“เอ่อ รันขอตัวก่อนนะคะ เชิญทะเลาะกันได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ” รันดาพูดพร้อมกับยิ้มให้มัสลินอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องอาหารไปเงียบๆ
“คุณต้องส่งฉันกลับวันนี้” เธอขู่
“คิดถึงแฟนเหรอไง ถึงอยากกลับไวๆ” เขาถามเสียงปร่า
“ค่ะ คิดถึงแฟน” เธอตอบเสียงประชด แต่ก็ทำให้เขามีสีหน้าเคร่งขึ้นมาทันที
“รักแฟนมากนักหรือไง”
คำถามของเขาดูจะทำให้เธอรู้สึกจี๊ดๆที่อกข้างซ้าย เธอไม่ได้รักธันวา แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกลงใจคบหาเขาเป็นคนรักก็เพราะความอ่อนโยนและแสนดีของเขา ใครจะไปนึกล่ะว่า…ผู้ชายใจดีที่บอกว่ารักเธอทุกวันจะสั่งฆ่าเธอได้ลงคอ
“เงียบทำไมล่ะ” เขาถาม ตาคมคอยจับจ้องอากัปกิริยาของมัสลินอย่างสังเกต
“เปล่าค่ะ เมื่อไหร่คุณจะส่งฉันกลับ”
“ก็บอกแล้วไงว่าอีกสองเดือน”
“เอ๊ะ” เสียงใสๆตวาดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ถ้าผมส่งคุณกลับ ผมจะได้อะไรล่ะ”
“แล้วคุณต้องการอะไรล่ะ”
“ตัวคุณ” เขาตอบตรงๆเล่นเอาหญิงสาวชักสีหน้าใส่
“ฉันมีแฟนแล้ว”
“งั้นถ้าผมไปส่งคุณ ผมขออยู่ที่โน่นด้วยคนได้มั้ย ขออยู่ด้วยไม่นาน” เขาต่อรอง ทำเอามัสลินต้องคิดหนัก
ถ้าให้เขาไปอยู่ที่โน่นด้วยก็คงจะไม่เป็นเรื่องดีแน่ๆ เขาเป็นผู้ชาย…จะให้ไปอยู่กับเธอสองต่อสองก็ดูจะน่าเกลียด แต่ว่า…มันก็ยังดีกว่าการที่เธอต้องทนอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ใช่หรือ? บ้านที่มีแต่คนที่ดูท่าทางเหมือนไม่เป็นมิตร ท่าทางลึกลับ น่ากลัว สู้เธอไปอยู่ที่บ้านแถวกรุงเทพยังจะดีซะกว่า
“ได้ แต่คุณต้องรีบไปส่งฉัน”
“ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปส่งคุณ” เขารับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ดวงตาเปล่งประกายประหลาดขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ร่างสูงผุดลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องอาหารโดยมีร่างบางเดินตามไปติดๆ
“ผมจะไปดูคนงานถางป่า ผมจะปลูกผัก ผลไม้ ทำสวนผสม คุณอยู่ที่นี่แหละ ตอนเย็นๆผมจะกลับมา ถ้าตอนกลางวันคุณหิวข้าว คุณก็มาที่ห้องอาหารห้องนี้ เดี๋ยวจะมีคนเอาอาหารมาตั้งไว้ที่โต๊ะให้” เขาหยิบหมวกปีกกว้างมาสวมที่ศีรษะ ก่อนจะเดินดุ่มๆออกไปจากคฤหาสน์โดยมีดวงตากลมโตมองตามเขาไปจนลับสายตา
หญิงสาวเดินเอื่อยๆเข้าไปในห้องของตัวเองด้วยสีหน้าหม่นๆ ร่างบางทรุดลงนั่งบนเตียงกว้างอย่างเหงาๆก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆดังขึ้น
“เปิดประตูหน่อย”
ก๊อกๆๆ
มัสลินจำต้องลุกไปเปิดประตูออก ทันทีที่ผลักประตูให้เปิดออกกว้าง เธอก็เห็นบุคคลที่มาเคาะประตูเรียกเธอได้อย่างถนัด ดวงตาโตๆเบิกค้างเมื่อเห็นสีหน้าของผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูดูจะถมึงทึงราวกับโกรธแค้นเธอมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
“บอกฉันมาตามตรงนะมัสลินว่าเธอ…เป็นใครกันแน่!!”