ตอนที่ 7 ผู้ชายเฮงซวย
“ขอบใจมากนะอิน ที่ช่วยฉันไว้” อมรเดชกล่าวอย่างซึ้งใจ
“อย่าพูดแบบนั้นซิคะ บก. ทำให้พวกเรามามากแล้วอินไม่ควรจะเห็นแกตัวทำร้ายทุกคน อินจะกลับไปเตรียมตัวก่อนนะคะ ฝากบอกนพมาศด้วยนะคะว่าเจอกันที่สนามบินในอีก 2 วันข้างหน้า” หญิงสาวลุกขึ้นเดินออกมาอย่างเบื่อๆ เธอรู้สึกใจหายอย่างประหลาดเหมือนกับว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว
กาซิมกลับเข้ามารายงานให้จามาลทราบ ชายหนุ่มหัวเราะอย่างชอบใจจนคนสนิทของเขาต่างมองหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากถามอะไร
“ ดี เตรียมตัวกลับอัลไบม่า เราจะไปเตรียมตัวต้อนรับแขกรับเชิญของเรา” ชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องนอน
“นาธาลเจ้าคิดว่าไง” กาซิมถามเพื่อนรัก
“จะคิดอะไรได้นอกเสียจากว่า นายเรากำลังตกหลุมรักนะซิ”
“เจ้าแน่ใจนะ”
“หรือว่าเจ้าเคยเห็นเจ้านายทำแบบนี้กับผู้หญิงอื่น” กาซิมส่ายหน้าเห็นด้วยกับที่เพื่อนพูด
“แล้วมันจะจบแบบไหนว่ะเนี่ย เสือกับสิงห์มาเจอกันมันคงสนุกกันใหญ่แล้ว” กาซิมถอนใจเฮือกใหญ่
มณีอินมาหามารดาที่บ้านเพื่อมาบอกลา หญิงสาวเห็นมารดากำลังเพลินอยู่กับสวนกล้วยไม้หลังบ้านซึ่งเป็นที่ที่บิดาของเธอชอบมานั่งอ่านหนังสือในวันหยุด เมื่อบิดาเสียชีวิตลงมารดาจึงดูแลแทนและชอบเข้ามานั่งเล่นที่นี่เป็นประจำ
“แม่คะ” หญิงสาวเรียกเบาๆ ประภาวดีหันมามองบุตรสาวและยิ้ม
“ว่าไงยัยอิน วันนี้หยุดหรือไงถึงมาหาแม่ได้” มารดาถาม มณีอินเดินเข้าไปช่วยประคองมารดามานั่งที่เก้าอี้
“อินจะมาลาแม่นะคะพอดีที่บริษัทให้อินไปทำหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวต่างประเทศ”
“แล้วจะไปกี่วันกันล่ะจ้ะ” มารดาถามอย่างเป็นห่วง
“ก็คงเกือบๆเดือนๆหรือมากกว่านั้น แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะคะมีน้องที่ทำงานไปด้วยอีกหนึ่งคน เรื่องที่พักและอาการทางโน่นเป็นคนจัดการให้เราทั้งหมด” หญิงสาวบอกมารดาเผื่อไม่ให้นางเป็นห่วง
“จ้ะ แล้วโทรกลับมาหาแม่บ้างนะ จะเมื่อไรกันล่ะ”
“พรุ่งนี้ค่ะ”
“แม่ขอให้หนูเดินทางโดยสวัสดิภาพนะจ้ะ” หญิงสาวโผเข้ากอดมารดาอย่างรักสุดแสน
“อะไรกันยัยอินไปแค่เดือนเดียวเองนะจ้ะ ไม่ได้ไปอยู่เลยซักหน่อย” มารดาเย้า มณีอินยิ้มและหอมแก้มมารดาและอยู่ทานอาหารเย็นและนั่งคุยเล่นจนเกือบ 3 ทุ่มจึงได้ลากลับที่พัก
มณีอินจอดรถที่สวนสาธารณะซึ่งมีต้นไม้และเก้าอี้วางอยู่เป็นช่วงๆล้อมรอบบึงน้ำขนาดใหญ่ สายลม ยามค่ำคืนพัดเย็นฉ่ำ หญิงสาวนั่งลงเอาหลังพิงกับเก้าอี้หินอ่อน เงยหน้ามองท้องฟ้าที่สว่างด้วยแสงจันทร์และแสงดาว และบริเวณรอบๆ ก็ยังสว่างด้วยแสงไฟที่ติดอยู่รอบๆ บึงน้ำ
หญิงสาวสังเกตเห็นชายหญิงหลายคู่นั่งจู๋จี๋กันอยู่ และไปสะดุดตาเข้ากับร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเข้า แต่เขานั่งหันหลังให้เธอ แต่หญิงสาวต้องรีบเมินหน้าหนีเมื่อร่างสองร่างกอดกันแน่นและกำลังแรกจูบกันอยู่ มณีอินนั่งใจเต้นแรงกำลังจะก้าวเท้าไปที่รถเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“จะรีบไปไหนหรือครับ มานั่งรอแฟนไม่ใช่หรือ”
“ออ...นึกว่าใครที่แท้ก็...” หญิงสาวหันกลับไปมองยกมือขึ้นกอดอกมองชายหญิงตรงหน้า “พอดีแฟนฉันคงไม่มาแล้ว ก็เลยว่าจะไปหาเขาที่ห้องนะคะขอตัวนะคะ” หญิงสาวยิ้มหน้าระรื่นและหมุนตัวเดินกลับ
“ใจกล้าหน้าด้านน่าดูเลยนะ” จามาลหัวเราะในลำคอ มณีอินกำมือแน่นพยายามระงับโทสะของตนเอง
“มันก็คงจะพอกัน แต่คุณยังอยู่ที่นี่อีกหรือพ่อคุณไปเที่ยวภูเก็ตทำไมไม่ตามท่านไปล่ะคะ หรือว่าชอบมาทำนิสัยแบบนี้ก็เลยไม่อยากให้พ่อคุณเห็นธาตุแท้” หญิงสาวยิ้มเยาะเมื่อเห็นสีหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แต่เธอไม่เคยคิดจะกลัวแม้แต่น้อย ไม่เหมือนกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆเขา เธอรู้สึกร้อนๆหนาวๆพิกล
“คุณจามาลคะเรากลับกันดีกว่านะคะ” หญิงสาวเรียกเขา ชายหนุ่มหันมามองและจับเธอมาจูบต่อหน้ามณีอิน
“บ้าที่สุด ให้พวกโรคจิต” หญิงสาวหันหลังเดินกลับมาที่รถอย่างเร็วและขับออกไป ชายหนุ่มยืนหัวเราะชอบใจจนหญิงสาวงงกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันนั้น
นพมาศ นิตยาและอมรเดชกวาดสายตามองหามณีอินใกล้ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววของหญิงสาวแม่แต่น้อย นิตยาร้อนใจจึงกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนรัก
“ยัยอินตอนนี้แกอยู่ที่ไหน ใกล้ได้เลาขึ้นเครื่องแล้วนะ”
“รู้แล้วฉันมาถึงแล้วเห็นหรือยัง” มณีอินชูมือให้เพื่อนสาวเห็นและกดวางสาย และเดินเข้ามาหาทั้งสาม
“นึกว่าจะเบี้ยวซะแล้ว” นพมาศมองค้อน
“ฉันรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” หญิงสาวบอกและหันไปกล่าวลาเพื่อนรักของตนเอง
“ฉันฝากแกดูแลแม่ของฉันด้วยนะ” หญิงสาวสั่ง
“อย่าห่วงเรื่องนั้นเลยแต่แกต้องดูแลตัวเองด้วยนะ” นิตยาบอกเพื่อนสาว มณีอินพยักหน้า เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารรอบสุดท้ายดังขึ้นสองสาวต่างวัยจึงไปที่ช่องผู้โดยสารขาเข้า
มณีอินหลับตาลงเมื่อมานั่งที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเพราะเร่งพิมพ์ต้นฉบับจนเสร็จเมื่อตอน 6 โมงเช้านี้เองและส่งเมล์ให้ทางสำนักพิมพ์เรียบร้อยจึงได้อาบน้ำแต่งตัวและตรงมาที่สนามบินด้วยมอเตอร์ไซด์รับจ้าง หญิงสาวมารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งตอนที่นพมาศเขย่าตัวเธอ
“พี่อินตื่นได้แล้วถึงแล้วนะคะ ไปอดนอนที่ไหนมาคะ” หญิงสาวถาม
“เปล่าหรอก พี่แค่เพลียนิดหน่อยเราไปกันเถอะ”
สองสาวเดินออกมาจากช่องทางผู้โดยสารขาออกของประเทศอัลไบม่า สภาพแวดล้อมโดยรอบสนามบินมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาตาแต่อากาศที่นี่ร้อนอบอ้าวน่าจะอยู่ที่ 40 องศาน่าจะได้ หญิงสาวยอมรับว่าที่นี่มีความเจริญมากทีเดียวเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างมีอยู่อย่างครบครัน มณีอินหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ ด้วยความสูงและใบหน้าที่คมเข้มของหญิงสาวทำให้มีผู้ชายหลายคนหันมามองแต่หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจนอกจากมองหน้าคนที่จะมารับพวกเธอเท่านั้น
“มิส มิสครับทางนี้ครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งยกมือและส่งเสียงเรียกสองสาวเป็นภาษาไทยและวิ่งเข้ามาหา
“คุณมณีอินกับคุณนพมาศใช่ไหมครับ ผมมนัสครับเป็นล่ามที่ถูกจ้างมารับพวกคุณนะครับ”
หญิงสาวยกมือไหว้และเดินตามเขาไปที่รถคันงามที่จอดอยู่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร ชายหนุ่มเปิดประตูให้หญิงสาวทั้งสองและตนเองขึ้นไปนั่งคู่กับคนขับ
“ผมจะคอยดูแลคุณทั้งสองคนทั้งเรื่องงาน ที่พักและอาหารการกินต่างๆ”
“คุณอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือคะ” มณีอินถามขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเงียบลง
“ครับ 10 ปีเห็นจะได้ครับ” ชายหนุ่มตอบ
รถแล่นผ่านหน้าประตูเหล็กสีขาวเข้ามาหญิงสาวทั้งสองก็ต้องตาค้างเพราะความยิ่งใหญ่ของคฤหาสน์ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่และกำแพงสูงจนดูแล้วน่ากลัวในความคิดของมณีอิน
“โอ้โฮ้ บ้านหรือวังกันแน่เนี่ยใหญ่มากเลย สวยมากด้วยว่าแต่คุณพาพวกเรามาที่นี่กันทำไม” นพมาศถามชายหนุ่ม
“ก็พวกคุณต้องพักกันที่นี่ เพราะเจ้าของบริษัทที่ว่าจ้างพวกคุณมาเขาต้องการแบบนั้น”
“แล้วเราจะพบกับเขาได้เมื่อไรกันคะ” มณีอินถาม
“คงอีกหลายวันเพราะท่านไม่อยู่ไปธุระต่างประเทศแต่ท่านสั่งไว้ว่าให้ดูแลพวกคุณให้ดี”
รถแล่นมาจอดที่หน้าตึก สาวรุ่นๆวิ่งออกมายืนรอที่หน้าประตูตึกพอหญิงสาวทั้งสองลงมาจากรถกระเป๋าเสื้อผ้าก็ถูกดึงไปจากมือ
“ไม่ต้องตกใจหรอกครับพวกเธอจะเอาของไปเก็บให้และพาพวกคุณไปที่ห้องพักเชิญครับ ผมจะรอที่ด้านล่าง” มนัสบอกหญิงสาว มณีอินและนพมาศเดินตามสาวใช้ขึ้นไปด้านบนหญิงสาวมองสำรวจไปรอบๆข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างล้วนมีค่าและราคาทั้งนั้นบางชิ้นก็เป็นของเก่าที่หาดูได้ยาก