ตอนที่ 1 การกลับมาอีกครั้ง
ล้อเครื่องบินส่วนตัวแตะพื้นลานเวย์สนามบินสุวรรณภูมิแล้วค่อยๆเคลื่อนตัวมาจอดสนิทที่หน้าอาคารที่พักผู้โดยสารระดับ VIP การีฟและมีนาเดินออกมาอย่างสง่างามในชุดสากลธรรมดาพร้อมกับคลี่ยิ้มให้กับ เจ้าหน้าที่ของสนามบินและเกรียงไกรผู้จัดการโรงงานที่เจ้าชายการีฟเป็นเจ้าของอยู่ ด้านหลังของทั้งสองพระองค์คือองครักษ์โยเชฟและนางกำนัลติดตามอีก 4 คน เจ้าชายหนุ่มเดินลงมาพร้อมกับชายาสาวตรงเข้ามาหาผู้อำนวยการสนามบิน เขาโค้งต่ำให้กับทั้งคู่
“เชิญทั้ง 2 พระองค์ที่ห้องพักรับรองก่อนพระเจ้าค่ะ” การีฟพยักหน้าแล้วหันไปมองมีนาที่กำลังยืนคุยอยู่กับเกรียงไกร
“เมษาล่ะคุณเกรียงไกร” หญิงสาวถามถึงญาติของตนเองทันที เพราะเธอได้รับรายงานจากเขาว่าเมษามาสมัครที่โรงงานของเธอ ตอนเธอจะมาก็โทรคุยกันแล้วและเมษาก็รับปากว่าจะมารับเธอที่นี่ด้วย
“เอ่อ..มาแล้วพระเจ้าค่ะ” เกรียงไกรอึกอักแล้วหันไปมองทางประตูก็เห็นเมษาถือมาลัยดอกมะลิรอยอย่างประณีตมา 2 พวง เมษายิ้มอย่างดีใจแล้วถอนสายบัวให้กับทั้งสองพระองค์แล้วส่งพวงมาลัยให้ การีฟยิ้มให้หญิงสาวแล้วหยิบขึ้นมา “สวยงามจริงๆ เจ้าทำเองหรือ”
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันไม่มีฝีมือด้านนี้หรอกเพคะ ต้องพระชายาเพคะ รายนี้เก่งทุกด้าน” เมษาหันมาหัวเราะกับมีนาแล้วโผเข้ากอดกันอย่างคิดถึง
“พูดธรรมดาเถอะเม ฉันก็ยังเป็นฉัน” มีนาดันเมษาออกห่างเพื่อมองอย่างพิจารณาอีกครั้ง
“เธอสวยขึ้นกว่าเก่าอีกนะ” มีนาแซ่วญาติสาว เมษาอมยิ้มแล้วมองเลยไปที่องครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง โยเชฟสบตาหญิงสาวแวบหนึ่งแล้วมองเมินไปทางอื่น
“นายเย็นชา” เมษาอุทานออกมาอย่าลืมตัว
“หือ..เธอว่าใครน่ะเม ใครนายเย็นชา” มีนาขมวดคิ้ว
“ปะ..เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร ข้างนอกอากาศร้อน ไปที่ห้องพักรับรองกันดีกว่า” เมษายิ้มแก้เก้อ
“เชิญเสด็จพระเจ้าค่ะ” ผู้อำนวยการสนามบินกล่าวเชิญอีกครั้งพร้อมกับเดินนำเสด็จทั้งสองพระองค์ไป
“เรื่องที่เรามาไม่มีใครรู้ใช่ไหม” การีฟหันไปถามผู้ดูแลสนามบินซึ่งก็ตอบกลับมาอย่างสุภาพ “พระเจ้าค่ะ กระหม่อมเก็บเป็นความลับที่สุดพระเจ้าค่ะ
“ดีมาก เอาล่ะคุณไปทำงานต่อเถอะ ที่นี่เดี๋ยวให้คนของข้าจัดการเอง” ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้ง ผู้อำนวยการสนามบินโค้งให้เขาอีกครั้งแล้วหันหลังเดินออกไปจากห้องพัก
“ฝ่าบาทสบายดีหรือพระเจ้าค่ะ” เกรียงไกรนั่งลงตรงข้ามกับเขา
“พวกเราสบายดีแล้วคุณล่ะ งานเป็นยังไงบ้างมีอะไรยุ่งยากไหม” การีฟย้อนถามเขาบ้าง
“ไม่พระเจ้าค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
เมษามองโยเชฟอย่างไม่วางตา เขากลับมาคราวนี้ดูหล่อเหลาขึ้นมากจนเธออีกยังตกใจ มีนาเห็นญาติสาวมององครักษ์หนุ่มของเธอไม่วางตาก็อดแซ่วอีกไม่ได้ เธอจึงขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหู “มองมากเดี๋ยวจืดหมดนะเม”
เมษากระพริบตาแล้วหันมายิ้มเขินๆให้มีนา
“บ้าสิ ก็แค่มองเขาว่าหล่อขึ้นเท่านั้นเอง แต่ดูท่าทางยังเย็นชาเหมือนเดิม”
“ก็คู่หมั้นของเขาที่จะแต่งงานกัน ไปมีชายคนใหม่รวยกว่าโยเชฟมาก เขาก็เลยเศร้าซึมไปตั้งแต่ตอนนั้นก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ” มีนาอธิบายเบาๆพอได้ยินกันแค่ 2 คน เมษาพยักรับ เธอเข้าใจแล้ว “แต่แค่ผู้หญิงคนเดียวไม่น่าทำตัวยังกับคนเบื่อโลกแบบนั้น”
“ก็คนเขารักมากนี่นา เธอไม่ชอบเขาก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ฉันมีเรื่องจะถามเธอตั้งมากมายแน่ะ” สีหน้าของเธอตื่นเต้นดีใจมากที่ได้กลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง
“ดูเจ้าจะสดชื่นมากเลยนะมีนที่ได้กลับบ้าน” การีฟหันมาแซ่วชายาของตนเอง มีนาคลี่ยิ้มแล้วขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ
“ก็หม่อมฉันไม่ได้กลับมานานแล้วนี่เพคะ เดี๋ยวเข้าโรงงานแล้วเราเลยไปหาคุณป้ากันนะเพคะ” หญิงสาวส่งสายตาอ้อนวอน
“ได้สิ ข้าตามใจเจ้าทุกอย่าง” การีฟจุมพิตที่หน้าผากเธอเบาๆ เมษาเสหันมองไปทางอื่นอย่างเขินอายแล้วสายตาก็ไปชนเข้ากับสายตาของโยเชฟเข้าพอดี เขาจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับแววตาที่เย็นชา เธอไม่คิดจะหลบสายตาและเขาเองก็ไม้คิดจะหลบสายตาของเธอด้วย เมษาเชิดหน้าขึ้นแล้วเป็นฝ่ายหันหนีเมื่อรู้สึกว่าแววตาของเขามองสำรวจดวงหน้าของเธอ จนทำให้เธอเริ่มรู้สึกร้อนผ่าว
“รถพร้อมแล้วครับ” พนักงานขับรถเดินเข้ามาบอกกับเกรียงไกร
“เชิญเสด็จทั้งสองพระองค์พระเจ้าค่ะ” เขาบอกแล้วลุกขึ้นโค้งให้การีฟและมีนาก่อนจะเดินตามหลังทั้งสองไป เมษาหยุดยืนรอให้ทั้งหมดไปแล้วเธอจึงเดินตามไปทีหลัง หญิงสาวเดินเข้ามาเคียงคู่กับโยเชฟแล้วแกล้งพูดแหย่เขา
“ถามจริงๆเถอะ คุณยังมีวิญญาณอยู่หรือเปล่า”
โยเชฟหันมามองเธอนิดหนึ่งแล้วหันกลับไป “ทำไมคุณถึงถามโง่ๆแบบนั้น” เมษาดึงแขนเสื้อเขาให้หันมาหาเธอ “นี่คุณว่าฉันโง่เหรอ”
“แล้วแต่คุณจะคิด” เขากระชากแขนเสื้อกลับแล้วรีบเดินตามองค์เหนือหัวทั้ง 2 ไป เมษาได้แต่ยืนกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ เธอไม่น่าหาเรื่องให้เขาด่าเลยจริงๆ
พนักงานขับรถเปิดประตูให้การีฟและมีนาขึ้นไปนั่งในรถคันแรกโดยมีเกรียงไกรนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ คันที่สองจึงเป็นโยเชฟ นางกำนัลอีก 4 คนและเมษาในรถคันที่สองจึงค่อนข้างคับแคบโดยโยเชฟนั่งหน้าคู่กับคนขับแล้วหญิงสาวทั้ง 5 คน ก็นั่งเบียดกันที่เบาะหลัง เมษาค้อนให้เขาอย่างไม่พอใจเมื่อรถเคลื่อนออกจากสนามบินเธอจึงนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเดียว
โยเชฟเหลือบมองหญิงสาวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับคนรักเก่าของเขาอย่างพิจารณา เขาลอบสังเกตเธอโดยที่เจ้าของร่างบางไม่รู้สึกตัว ใบหน้าเนียนกับริมฝีปากที่อิ่มเวลายิ้มช่างน่าหลงใหลแต่สำหรับเขามันก็คือยาพิษดีๆนี่เอง เขาเข็ดแล้วกับผู้หญิงใจง่าย โยเชฟดึงความสนใจของตนเองมองตรงไปที่ถนนเบื้องหน้าอีกครั้ง รถทั้ง 2 คันมุ่งตรงออกนอกเขตเมืองหลวง มุ่งสู่จังหวัดสิงห์บุรี
เมษาส่งค้อนให้เขาแล้วก้าวลงจากรถไปยืนรอเจ้าชายการีฟและมีนาที่หน้าออฟฟิต โยเชฟและนางกำนัลทั้งหมดเดินตามหลังเธอมาแต่พอหญิงสาวจะก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกรองเท้าส้นสูงของเธอก็เกิดพลิกจนทำให้เมษาเซหงายหลัง ดีที่โยเชฟรับเธอเอาไว้ได้ทัน ใบหน้าของเธอกับเขาห่างกันเพียง 10 เซนเท่านั้น สายตาของทั้งคู่มองสบกันอีกครั้งและนิ่งนาน
“เป็นไงบ้างเม” มีนารีบวิ่งมาดูญาติสาวของตนด้วยความตกใจ และนั้นเองทำให้ทั้งสองคนดึงสติกลับมาอีกครั้ง เมษาขยับตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งของเขา
“ไม่เป็นไรจ้ะ” เธอยิ้มอย่างอายๆแล้วหันไปหาโยเชฟ “ขอบคุณ” เธอกล่าวเสียงห้วนๆ
“ไม่เป็นไร ผมทำตามหน้าที่ แต่ก็ควรระวังตัวให้มาก” ชายหนุ่มบอกแล้วยืนรอเจ้าชายการีฟที่หน้าบันไดด้วยท่าทางเรียบเฉย เมษานึกหมั่นไส้เขามากขึ้นทุกที เธอค้อนตามหลังเขา
“ยืนทำอะไรอยู่ รีบตามเสด็จสิ” เกรียงไกรเข้ามากระซิบด้านหลัง
“ค่ะ บอส” เมษายิ้มแหยๆแล้วรีบเดินตามทั้งสองคนเข้าไปด้านใน สาวๆในออฟฟิตทั้งสาวเล็ก สาวใหญ่ต่างก็ส่งยิ้มให้กับองครักษ์หนุ่มหล่อกันเป็นแถว
“หมั่นไส้” เมษาพึมพำเบาๆ แต่เกรียงไกรก็ยังได้ยินเพราะเขาเดินตามหลังเธอ
“เธอบ่นอะไรอีกเมษา ไม่ต้องบ่นเลย ไปเร็วๆเข้า”
“ค่ะ ก็รีบอยู่นี่ไงคะ ที่คนอื่นไม่เห็นสั่งแบบนี้เลย” เธอหันมาค้อนให้ผู้จัดการวัยกลางคนแล้วรีบเดินหนีไปปล่อยให้เกรียงไกรอ้าปากค้าง
“ขอบคุณทุกคนที่ทำให้บริษัทนี้เจริญเติบโต ยังไงข้าขอฝากบริษัทนี้ไว้กับทุกคนด้วย” การีฟกล่าวอย่างเป็นกันเอง พนักงานต่างก็ยิ้มในความเป็นกันเองของพระองค์
“กระหม่อมสั่งคนให้จัดเตรียมห้องให้ทั้งสองพระองค์แล้วพระเจ้าค่ะ เชิญเสด็จไปพักผ่อนได้พระเจ้าค่ะ” เกรียงไกรเดินเข้ามากราบทูล
“ไม่ล่ะเราสองคนจะไปพัทยา เรานัดกับจอร์แดนน้องชายเราเอาไว้ แต่เราจะให้โยเชฟอยู่ดูงานที่นี่ก่อน คุณจัดเตรียมห้องให้เขาด้วย” การีฟบอกยิ้มๆ
“ใช้ มีนฝากองครักษ์ของเราด้วยนะคะอย่าปล่อยให้สาวๆแทะสะเหลือแต่กระดูกนะคะ” มีนายิ้มให้เขา เกรียงไกรอมยิ้มในอารมณ์ขันของหญิงสาว แต่คนที่ไม่พอใจคือคนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง
“กระหม่อมต้องตามเสด็จทั้งสองพระองค์นะพระเจ้าค่ะ” โยเชฟเอ่ยค้าน
“ข้าอยากให้เจ้าพักผ่อนเสียบ้าง ที่นี่เมืองไทยไม่ใช่มาราคัตไม่มีอันตรายเกิดขึ้นหรอก” เจ้าชายหนุ่มหันมายิ้มให้เขา
“แต่ว่ากระหม่อมต้องตามดูแลทั้งสองพระองค์ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับทั้งสองพระองค์ กระหม่อมคง..”
“พอแล้วโยเชฟ เราสองคนเห็นท่านเป็นเพื่อนมากกว่าองครักษ์ ดังนั้นเมื่อเห็นเพื่อนเหนื่อยเราสองคนก็อยากให้ท่านพัก และนี่คือคำขอร้องของเพื่อน” มีนาเลิกคิ้วให้เขา คำสั่งของมีนาทำให้องครักษ์หนุ่มก้มหน้านิ่งอย่างยอมรับ
“เราฝากด้วยนะเกรียงไกร” การีฟหันมาทางผู้จัดการโรงงานอีกครั้งก่อนจะเดินกลับไปที่รถพร้อมกับมีนา
โยเชฟมองตามท้ายรถออกไปด้วยความเป็นห่วงและกังวล เมษาจึงเดินเข้ามาหาเขาเพื่อหวังจะพูดให้เขาคล้ายกังวลใจ
“คุณไม่ต้องห่วงทั้งสองคนนั้นหรอก เจ้าชายการีฟทรงเก่งกล้าสามารถแบบนั้นเอาตัวรดได้สบายอยู่แล้ว เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ ดูสิทำหน้าเหมือนกับคนอกหักเลย หรือว่าอกหักจริงๆ”
โยเชฟหันมามองหน้าหญิงสาวทันที “หน้าของผมก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ผมถามจริงๆเถอะไม่มีใครสอนคุณบ้างเลยหรือไงว่าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น และอีกอย่างถ้าคุณพูดให้น้อยกว่านี้แล้วอยู่เฉยๆจะดีมาก ผมรำคาญ” เขาพูดใส่หน้าเธอด้วยความโมโหที่เธอพูดแทงใจดำของเขาเข้าพอดี เมษาถึงกับหน้าชายืนนิ่ง ริมฝีปากเรียวเม้มเข้าหากันแน่น
“ผมขอเตือนอย่ามายุ่งกับผม เพราะผมไม่ชอบคุณ อ้อ..อีกอย่างถึงคุณจะพยายามให้ผมสนใจยังไงคุณก็ทำไม่สำเร็จหรอก” เขาบอกแล้วเดินเข้าไปหาเกรียงไกรเพื่อขอกุญแจห้องพักของตนเอง
“ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้นสะหน่อย ไอ้บ้า แค่ชวนคุยให้หายเหงา หายเครียดเท่านั้น ไอ้ผู้ชายหลงตัวเอง ค่อยดูฉันจะไม่สนใจคุณอีกแล้ว ผู้ชายเฮงซวย” หญิงสาวกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจก่อนจะกลับเข้าไปทำงานต่อและพอเข้าไปเธอก็เห็นพนักงานสาวคนหนึ่งถือกุญแจห้องเดินนำหน้าโยเชฟไปทางอพาร์ทเม้นต์
“หึ ที่แท้ก็ปากว่าตาขยิบ พอเจอสาวๆสวยๆก็รีบตามไปเชียวนะตาเย็นชา” เธอค้อนให้แล้วนั่งลงตามเดิม เธอเข้ามาทำงานแทนเลขาคนเก่าได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น แต่ด้วยความเป็นคนขยันจึงทำให้เกรียงไกรเอ็นดูเธอมากกว่าคนอื่นและย่อมทำให้คนอื่นอิจฉาเธอเช่นกัน เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น เมษาจึงว่างมือจากหน้าคอมพิวเตอร์มารับสาย
“ฮัลโล เมษาพูดค่ะ”
“หวัดดีลูกสาวคนสวย” เสียงปลายสายแทบจะทำให้เมษาวางสายเพราะเขาคือวีระ พ่อเลี้ยงของเธอนั้นเอง พ่อแท้ๆตายจากไปตั้งแต่เธอได้ 10 ขวบและแม่ก็แต่งงานใหม่กับหนุ่มรุ่นน้องที่อายุห่างกันเกือบ 12 ปี
“คุณต้องการอะไรอีก เงินฉันก็ให้คุณไปหมดแล้วตอนที่แม่ตาย สมบัติของแม่ฉันก็ให้คุณหมดแล้ว” เธอตอบเขาเสียงแข็ง แต่เสียงทางฝ่ายโน่นจะหัวเราะชอบใจ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พ่อยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ หนูพูดแบบนี้กับพ่อได้ยังไงจ้ะ อย่าลืมสิว่าพ่อเลี้ยงหนูมาตั้ง 10 กว่าปีเชียวนะ มันต้องได้มากกว่านั้น”
“ฉันไม่มีอะไรให้คุณแล้ว ทั้งบ้านทั้งเงิน แค่นี้นะฉันจะทำงาน”
“เดี๋ยวสิ ฉันต้องการเงินอีก 5 หมื่นแล้วฉันจะไม่มากวนใจเธอเลย” เสียงของเขาเปลี่ยนไปเป็นแข็งกระด้าง
“ไม่มีทาง ฉันไม่มีให้”
“ถ้างั้นฉันจะขายบ้านหลังนี้ทิ้ง บ้านที่พ่อของเธอกับแม่ของเธอสร้างมาทั้งชีวิต”
เมษาเม้มปากด้วยความโกรธที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ “คุณอยากทำอะไรก็ทำไปเพราะความรู้สึกของฉันมันถูกคุณทำลายไปหมดแล้ว แต่ความรักที่ฉันมีต่อพ่อและแม่ของฉันคุณทำลายมันไม่ได้แน่”
“แก..”เสียงอีกฝ่ายบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างหนัก “ได้แล้วเราจะได้เห็นดีกันเมษา ฉันจะทำลายเธอให้พังย่อยยับเลยค่อยดู” เขากล่าวอาฆาตแล้ววางสายไป เมษาค่อยๆลดโทรศัพท์มือถือลง พอดีที่เกรียงไกรเดินเข้ามาพอดี เขาหยุดมองใบหน้าที่ซีดเผือดของหญิงสาวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย “เม เม เมษา” เขาร้องเรียกซ้ำๆ
“คะ บอสมีอะไรคะ” เธอหันมามองหน้าเขา
“เธอเป็นอะไรหน้าซีดแล้วก็เหม่อ หรือว่า มันโทรมาอีกแล้วใช่ไหม” เกรียงไกรขยับเข้ามาใกล้
“ค่ะ” เมษาพยักหน้ารับ เกรียงไกรถอนใจยาวอย่างนึกสงสาร เขาเคยเจอพ่อเลี้ยงของหญิงสาวครั้งหนึ่งตอนที่มาอาละวาดที่หน้าโรงงานจะพาตัวเมษากลับบ้านแต่หญิงสาวไม่ยอม เขาจึงเข้าไปช่วยเธอและเขาสังเกตท่าทางของพ่อเลี้ยงหนุ่มแล้วดูเหมือนคิดจะงาบลูกเลี้ยงสาวด้วยซ้ำไป