บทย่อ
พระจันทร์ แปลว่า The Moon รู้ความหมายแล้วเป็นยังไงบ้าง? ชอบไหม? เราได้รับทุนมาเรียนที่ประเทศราเวีย มาวันแรกก็ถูกจับตัวมัดมือมัดเท้าเลย ..เราทำอะไรผิด?? คุณจับมาผิดคนแล้ว เราไม่ได้เป็นคนขโมยเอกสารลับอะไรทั้งนั้น เราเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง T^T หากพระเจ้าอยากจะลงโทษเราก็ช่วยปล่อยให้เราตายตั้งแต่เกิดเถอะนะ ทำไมต้องสร้างอุปสรรคมากมายในชีวิตขนาดนี้ แค่เป็นเด็กกำพร้าต้องเติบโตมาในบ้านครูสายสวรรค์บ้านเด็กกำพร้าเล็กๆ นี้ก็ลำบากมากพอแล้ว อย่าให้ถึงขั้นโดนทรมานจนตาย หรือ เอามีด เอาปืนมาฆ่ากันเลย ..ขอให้เรารอดกลับไปอย่างปลอดภัยอวัยวะครบสามสิบสองด้วยเถอะนะ
บทที่ 1
สวัสดี..เราชื่อพระจันทร์ ตอนนี้เราอายุ 21 ปีแล้ว เป็นเด็กกำพร้าที่มีโอกาสสอบชิงทุนไปเรียนที่ต่างประเทศ ประเทศที่ว่าก็คือ " ประเทศราเวีย " เป็นประเทศในแถบทะเลทรายเล็กๆ ไม่ใหญ่ไม่โด่งดังแต่ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน แก๊สธรรมชาติ เหมืองเพชรล้ำค่าต่างถูกส่งออกจากที่นี่ทั้งนั้น ถือว่าเป็นประเทศที่มีค่า GDP สูง และร่ำรวยติดอันดับต้นๆ แข่งกับนานาประเทศยักษ์ใหญ่อื่นๆ
ตอนแรกเราก็ไม่คิดว่าจะได้ทุนนี้เหมือนกัน เพราะเราพยายามสอบชิงทุนมาหลายครั้งหลายหนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแต่ก็ไม่เป็นผล ไม่ว่าจะด้วยความสามารถหรือด้วยปัญหาเส้นสายอื่นๆ กระทั่งตอนนี้เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสามแล้ว แต่ได้มาลองสอบชิงทุนนี้ดูเพราะอาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำมาว่าการสอบยากมากจนไม่มีใครสมัครเลย ซึ่งจะบอกว่าการได้รับทุนนี้เป็นสิ่งที่โชคดีที่สุดก็ว่าได้ถึงแม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยความพยายามและความทุ่มเทอย่างหนัก แต่มันคือวิถีทางเดียวที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากสังคมต่ำต้อยนี้ไปได้
หลายคนอาจจะนึกไม่ออกว่าสังคมต่ำต้อยที่เราพยายามหลีกหนีนี่เป็นยังไง? ให้ลองนึกถึงภาพเด็กผู้ชายอ่อนแอคนหนึ่งที่ถูกรุมกลั่นแกล้ง ถูกล้อว่าไม่มีพ่อแม่ เป็นเด็กกำพร้าหน้าโง่บ้างล่ะ เป็นขยะเดนสังคมบ้างล่ะ เศษสวะอย่างเราไม่ควรได้รับโอกาสดีๆ เหมือนคนอื่นหรอก ควรอยู่ในมุมมืดนั่นแหละเหมาะสมแล้วอย่าได้สะเออะขึ้นมาลอยหน้าลอยตาในสังคมที่สูงส่งให้แปดเปื้อนเลย..
แต่ก็โชคดีที่เรายังมีชีวิตจนเติบโตมาได้เป็นอย่างดีตามที่แม่ครูจะทำได้ และเราไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาหรอก เราจะสู้จนกว่าจะตายกันไปข้าง แม้ว่าจะน้อยอกน้อยใจในโชคชะตา เสียน้ำตากับบาดแผลทางจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในเมื่อตอนนี้โอกาสมาถึงแล้วเราจะทำให้ดีที่สุด
สนามบินสุวรรณภูมิ~
ประเทศไทย~
"พระจันทร์ หนูเป็นเด็กดีแม่เชื่อว่าหนูจะประสบความสำเร็จนะลูก"
"ครับ พระจันทร์จะรีบตั้งใจเรียนให้จบแล้วกลับมาหาแม่ครูนะครับ"
"มีอะไรก็บอกแม่นะลูก ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะลำบาก"
"ไม่ต้องห่วงนะครับ พระจันทร์ดูแลตัวเองได้"
"จ๊ะ แม่รู้ว่าพระจันทร์ของแม่เก่งที่สุดเลย"
"แม่ครูกลับบ้านเถอะครับ ใกล้จะถึงเวลาปิดเคาน์เตอร์เช็กอินแล้ว พระจันทร์เช็กอินเสร็จก็จะเข้าไปด้านในเลยครับ"
"ถ้าอย่างนั้นแม่กลับก่อนนะลูก แม่ต้องแวะไปเอายาให้น้องที่โรงพยาบาลอีก"
"กลับดีๆ นะครับ"
"มาให้แม่กอดก่อนไปซิลูก แม่ขอพรคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองพระจันทร์คนเก่งของแม่ให้เดินทางถึงที่นู้นอย่างปลอดภัย ถึงแล้วบอกแม่ด้วยนะ"
"ครับ"
ร่างของชายหนุ่มบอบบางน่าทะนุถนอมกับหญิงวัยผู้ใหญ่กลางคนค่อนไปทางวัยเกษียณกอดกันแน่นพร้อมกับน้ำตาแห่งความปลื้มปิติยินดีและโศกเศร้าจากการลาจากไหลซึมเพราะไม่เคยจากกันไกลและยาวนานเป็นปีขนาดนี้มาก่อน
“ แม่ครู ” คำที่พระจันทร์เรียกติดปากมาตั้งแต่ที่จำความได้ เธอเป็นเจ้าของบ้านครูสายสวรรค์ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าย่านชานเมือง เธอดูแลเด็กๆ ด้วยความโอบอ้อมอารีและจะบอกว่าเธอรักเอ็นดูเจ้าหนูพระจันทร์คนนี้มากเป็นพิเศษก็ว่าได้ พระจันทร์ก็รักเคารพแม่ครูมากเหมือนแม่แท้ๆ คนหนึ่ง
"แม่ไปนะลูก"
"ครับ ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ"
"จ๊ะ โชคดีนะลูก"
"บ๊ายบาย"
พระจันทร์ยืนมองแม่ครูเดินไปจนลับสายตาพร้อมกับปาดน้ำตาที่ไหลลงอาบสองแก้ม ทั้งที่พยายามฝืนกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา แต่พอแม่ครูหันหลังเดินไปแล้ว หยดน้ำตาเม็ดโตกลับร่วงหล่นลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงสะอื้นไห้เบาๆ กับจมูกแดงๆ เป็นที่เอ็นดูของผู้โดยสารหลายคนแถวนั้น เพราะต่างก็เข้าอกเข้าใจความรู้สึกพลัดพรากห่างไกลกัน
ลาแล้วนะประเทศไทย~
ลาแล้วนะบ้านครูสายสวรรค์~
ลาแล้วนะครับแม่ครู และน้องๆ ที่บ้านด้วย~
แล้วพระจันทร์จะกลับมานะ..บ๊ายบาย~