บท
ตั้งค่า

บทที่1 กลายเป็นแม่ลูก2

แรงกระแทกความสูงมากกว่า50เมตร เหมยจิงคิดว่ามันอาจจะไม่มีโอกาสได้รู้สึกถึงความเจ็บหรือปวดด้วยซ้ำไป แต่ทำไมในตอนนี้สมองของเธอถึงรู้สึกปวดจี๊ดดั่งกับว่าเหมือนมีปลายเข็มนับพันๆ เล่มมาทิ่มแทงไปทั้งสมอง

จริงๆ แล้วเธอไม่ได้คิดสั้น การตกจากตึก5ชั้นนั้นก็ไม่ได้เกิดโดยอุบัติเหตุเหมือนกัน แต่มันเกิดขึ้นจากน้ำมือของคนที่เหมยจิงไว้วางใจมากที่สุด และดูเหมือนว่าคนผู้นั้นคงจะวางแผนล่วงหน้าเพื่อฆ่าเธอมาเอาเสียดิบดี เมื่อเหมยจิงคิดว่าเธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาย่อมความโกรธความแค้นเป็นธรรมดา แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ นี่ เป็นใครก็ต้องรู้สึกแบบนี้ ตอนนี้เธอคงจะต้องอยู่โรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่งในปักกิ่งเป็นแน่ แม้จะคิดเช่นนั้นแต่อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงนั้นพานทำให้เธอยังไม่อยากลืมตาขึ้นมามองสิ่งรอบข้างในตอนนี้  มันน่าแปลกที่โรงพยาบาลแห่งนี้ไม่มีกลิ่นของยาฆ่าเชื้อเหมือนโรงพยาบาลทั่วไป  กลับกันเธอกลับได้กลิ่นฟางข้าวแห้งๆ ผสมกลิ่นอายดินที่ฝนตกใหม่ๆ เป็นกลิ่นหอมเฉพาะที่เธอชอบมาก สมัยเด็กๆ เธอค่อนข้างคุ้นชิน​ เพราะเธอเติบโตมาจากชนบท 

หลังจากนั้นเหมยจิงก็หลับไป​  ตลอดการหลับใหลเธอกลับฝันถึงชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งชื่อแซ่เดียวกับเธอ ผู้หญิงคนนั้นได้แต่งงานเข้ามาเป็นเมียของนายทหารที่ไปประจำการอยู่ต่างเมือง แต่ที่แย่ที่สุดคือครอบครัวของสามีปฏิบัติต่อเธอและบุตรชายทั้งสองได้ย่ำแย่มาก เงินหยวนที่สามีส่งมาทุกเดือนไม่เคยถึงมือเธอแม้เสี้ยวหนึ่ง  ดีขึ้นมาหน่อยที่เธอสามารถอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่ได้ นั่นเพราะหรงจ้าวไห่ได้ขอไว้ก่อนจะไปค่ายทหาร แม่สามีจึงจำต้องยอมไม่เช่นนั้นแล้วหากลูกสองของเธอเกิดมีความคิดแยกบ้านขึ้นมาเงินหยวนที่เธอควรได้รับ​ คงต้องสาบสูญหายไปอยู่ในมือของภรรยาผู้ไร้ประโยชน์ของลูกชายคนที่สอง

เหมยจิงตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันถัดมาหลังจากนั้น น่าแปลกใจที่เธอสามารถตื่นขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่เคยมีอยู่ทั้งไม่มีอีกแล้ว เหลือเพียงแค่รู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สงสัยเธอจะหลับไปนานจนเกินไปไม่สิ ตกตึกสูงขนาดนั้นไม่ตายไปก็ถือว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว 

เธอคิดว่าหากหายดีคงไม่สายที่จะกลับไปแก้แค้นคนทรยศ... 

"ให้ตายสิทำไมรู้สึกไร้เรี่ยวแรงแบบนี้"

เหมยจิงบ่นกับตนเองเบาๆ ในตอนที่เธอพยายามจะพยุงตัวเองขึ้นมาจากฟูกนอนแข็งๆ 

เมื่อสายตาปรับเข้ากับแสงได้ประมาณหนึ่งเหมยจิงก็รับรู้ได้ทันทีกับเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ความทรงจำที่ไม่ใช่ความทรงจำของเธอเองวนเวียนอยู่ในสมอง ทำให้เหมยจึงค้นพบในทันทีว่าร่างเก่าของเธอคงหมดอายุขัยไปแล้ว ในตอนนี้จึงมาอยู่ในร่างของแม่ลูกอ่อนแสนอาภัพผู้หนึ่ง​ เหมยจิงก้มมองดูแขนขาร่างเดิมอย่างอ่อนใจ สภาพผอมที่ดูอย่างไร ก็ไม่แตกต่างจากกระดูกเดินได้เสียสักเท่าไหร่ เช่นนี้สามีของร่างเดิมเป็นคนแบบไหนไม่สนใจไยดีลูกเมียบ้างหรือ หากเป็นเช่นนี้มันช่างเลวร้ายยิ่งนัก

"สะใภ้รองแม่สามีสั่งให้เธอไปตักขี้หมู เธอจะนอนกินบ้านกินเมืองหรืออย่างไร หรือเห็นว่าน้องรองสามีของเธอส่งเงินมาให้แม่ เธอ​ที่เป็นเมียจึงคิดว่าไม่ต้องหยิบจับงานอันใดเลยอย่างไรหรือ"

เสียงกระแหนะกระแหนดังเข้ามาในโสตประสาทของเหมยจิง ความทรงจำในร่างเดิมนั้นอธิบายเธอได้เป็นอย่างดี เสียงสตรีผู้นั้นคือสะใภ้ใหญ่ของบ้านชื่อว่าเจียงหนาน เจียงหนานเป็นสตรีที่แต่งเข้ามาก่อนหน้าเหมยจิงแค่เพียงปีเดียวนางเป็นสตรีที่ดวงตาเล็กห่างผิวหยาบกร้านตามฉบับสตรีชนบท เจียงหนานมีบุตรสองคนกับหรงฟานไฉ่ ชื่อว่าหรงต้าไห่ และหรงต้าหาน หรงฟานไฉ่ยังนับว่าเป็นผู้มีคุณธรรมอยู่พอสมควรแตกต่างจากผู้เป็นภรรยาอยู่มากโขที่ทั้งเอารัดเอาเปรียบและขี้เกียจสันหลังยาว

เหมยเจียงที่พึ่งฟื้นขึ้นมาก็ได้แต่โอดครวญ และสาบส่งผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่สะใภ้

"ฉันทำไม่ไหวหรอกค่ะพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ดูตัวฉันสิคะ แค่จะเดินก็ยังไม่ไหวยังไงวันนี้ก็รบกวนพี่สะใภ้ก่อนนะคะ ฉันคิดว่าหากไปตักขี้หมูอาการคงต้องทรุดหนัก เกรงว่าหากไปหาหมอคงจะต้องจ่ายเงินไปหลายหยวนแน่ หากเป็นเช่นนั้นหน้าหนาวนี้บ้านเราจะต้องได้กินธัญพืชหยาบตลอดฤดูกาลแน่ๆ ค่ะ มันคงไม่ดีนักหากเป็นเช่นนั้น"

เมื่อได้ยินว่าหากเธอใช้งานสะใภ้รองในตอนนี้ จะต้องเสียค่าโรงหมออีกหลายหยวน จึงพับเก็บความคิดที่จะจิกทึ้งหัวนังตัวดีออกไปตักขี้หมู เจียงหนานจำต้องกระทืบเท้าออกไปตักขี้หมูเหม็นๆ ด้วยตนเองอย่างไม่เต็มใจ

เมื่อกำจัดตัวการออกไปได้เหมยจิงก็มองหาบุตรชายทั้งสองของนาง ในความทรงจำของร่างเดิมตอนนี้เด็กทั้งสองคงจะไม่แคล้วไปวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งนาที่ชาวบ้านทำงานเก็บแต้มกันอยู่ ดีขึ้นหน่อยที่นางและบุตรชายไม่ต้องเก็บแต้มเหมือนกับคนอื่นๆ แต่หน้าที่หลักๆ ในบ้านนั้นจะตกอยู่เป็นหน้าที่ของนางแทบทั้งหมด ในยุค70เป็นช่วงยุคเกือบมืดสนิทของธุรกิจ การค้าขายทั้งหมดขึ้นอยู่กับรัฐบาลแทบทั้งหมด การใช้เงินก็ยากลำบากเพราะในการซื้อหนึ่งครั้งต้องใช้ตั๋วแลกด้วยหากไม่มีตั๋วมีเงินก็ไร้ค่า ในยุคนี้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดก็คือตั๋วเนื้อ ตั๋วอุตสาหกรรม​ แต่นี่ก็ยุค70ตอนปลายน่าจะเป็นคศ.ที่1978จากความทรงจำร่างเดิม​อีกไม่กี่ปีก็จะเริ่มเปิดกาค้าเสรีแล้ว

ในมือของเหมยจิงตอนนี้อย่าว่าแต่ตั๋วเลยแม้แต่เงินแม้แค่เหมาเดียวยังไม่มีติดตัว จะว่าไปก็ไม่แปลกที่จะไม่มีเงินติดตัวเลย เพราะแม้แต่อาหารไม่รู้ว่าเธอเคยกินอิ่มบ้างหรือเปล่า คนที่น่าสงสารที่สุดคงไม่พ้นลูกชายทั้งสองของเธอ 

บุตรชายทั้งสอง​ คนโตชื่อหรงเฟยหยางอายุ4ปี และหรงเฟยเทียนอายุ3ปี เด็กรุ่นเดียวกันนั้นดูโตกว่าสองคนนี้มาก​ ดังเช่นลูกของสะใภ้ใหญ่นางนั้นตั้งท้องพร้อมกับร่างเดิม แต่ทว่าเด็กทั้งสองบ้านกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งที่สามีของร่างเดิมเป็นผู้ที่ส่งเงินและตั๋วมาให้มากมาย เธอคิดว่ามันคงมากพอที่จะสามารถเลี้ยงดูเด็กๆ ได้อย่างสบาย แต่กลับกันในตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้น ไม่ได้การแล้วเมื่อเป็นเธอที่เข้ามาเป็นเหมยจิงแล้วสภาพความเป็นอยู่ของลูกชายและเธอนั้นจะต้องดีขึ้นกว่านี้

อย่างน้อยๆ บุตรชายทั้งสองของเธอจะต้องได้เข้าโรงเรียนในตัวตำบล  แค่ขอให้บุตรชายทั้งสองจบมัธยมในยุคนี้ก็ยังดี แค่นั้นถือว่าดีมากแล้วแต่หากลูกชายของเธอจะสอบต่อมหาวิทยาลัยเธอก็พร้อมจะสนับสนุน  แต่บ้านใดที่มีคนจบมัธยมต้นสมัยนี้ถือว่าหรูหรามากแล้ว วุฒิแค่นั้นก็สามารถนำไปสมัครโรงงานในอำเภอได้แต่เป็นการยากที่จะมีใครขายตำแหน่งในโรงงานให้ส่วนมากใครที่มีตำแหน่งในโรงงานก็จะเก็บไว้ให้ลูกหลานในครอบครัวของตนเองเสียมากกว่า

ไม่นานก็เห็นร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยทั้งสองในสภาพขะมุกขะมอม เสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งตัวเล็กไม่พอดีตัวและมีร่องรอยปะชุนเต็มไปหมด

"แม่ครับแม่หายดีแล้วหรือ" บุตรชายคนโตที่มีอายุเพียง4 ขวบเอ่ยถามเหมยจิงอย่างกังวล หรงเฟยหยางเป็นเด็กที่รู้ความ ภายในแววตาของเด็กน้อยมีแวววิตกกังวลมากมาย เพียงเหมยจิงคิดว่าสายตาแบบนี้ไม่สมควรเกิดขึ้นกับเด็กที่มีอายุเพียงเท่านี้

เธอเผยรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงหวานตอบลูกชายแสนน่ารักของเธอไป แม้จะรู้สึกตกใจไปสักนิด ที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนที่มีลูกมีสามีโดยไม่ทันตั้งตัว 

"จ๊ะแม่ดีขึ้นมาแล้ว แล้วนี่พวกลูกกินอะไรกันหรือยัง"

เด็กน้อยไม่ได้ตอบคำถามเพียงแต่เด็กสองคนต่างมองตากัน ก่อนจะหันมาส่ายหน้าพลางทำหน้าเศร้าๆ เหมยเจียงรู้สึกปวดใจอย่างห้ามไม่ได้ เด็กอายุเพียงเท่านี้ไม่เหมาะสมที่จะมาอดทนต่อความหิวโหยแบบนี้

"ไปเถอะแม่จะหาอะไรให้พวกลูกกินกัน" เธอจูงมือเด็กน้อยไป แต่จู่ๆ เฟยหยางก็ฝืนแรงจูงของแม่ตนเองไว้

"แม่ครับหากเราทำแบบนั้น มีหวังท่านแม่กับพวกเราถูกย่าตีจนตายแน่"

เหมยจิงยืนนิ่งแม้รู้สึกปวดใจแค่ไหน แต่ยามนี้เธอไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะไปสู้รบตบมือกับแม่สามีผู้ไร้ซึ่งเหตุผลผู้นั้น เธอนิ่งคิดพยายามคิดว่าจะสามารถหาแหล่งอาหารจากที่ใดมาให้ตนและลูกชายได้กินประทังความหิวโหยได้บ้าง

ในที่สุดเธอก็นึกขึ้นได้ว่าถัดออกไปจากนี้มีลำธารเล็กๆ แม้คนในยุคนี้จะรู้จักอาหารการกินมากมายแล้วก็ตาม แต่เธอยังเชื่อว่าที่ไหนมีแหล่งน้ำที่แห่งนั้นย่อมต้องมีอาหาร เหมยจิงพาลูกชายเดินตรงมายังลำธารตลอดสองฝั่งของลำธารเต็มไปด้วยต้นสนตลอดแนวสองฝั่ง ก้อนหินในลำธารวางสลับซับซ้อน น้ำในลำธารใสจนมองเห็นตัวปลาที่แหวกว่าย น่าเสียดายที่มันทั้งตัวเล็กแถมจับยากเหมยจิงจึงรู้สึกว่ามันคงหมดหนทางแล้ว เธอจึงนั่งลงเรียกลูกชายทั้งสองเข้าไปล้างหน้าก่อนสายตาของเธอจะเหลือบตาเห็นกุ้งก้ามกรามที่เกาะตามแนวหิน หากไม่สังเกตุดีๆ ไม่มีทางมีใครดูออก

"ลูกๆ วันนี้พวกเรามีอาหารดีๆ กินแล้วละ"

"จริงหรือครับแม่" ลูกชายทั้งสองอดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อได้ยินผู้เป็นแม่เอ่ยออกมาเช่นนั้น หากพวกเขาโตกว่านี้คงจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงของแม่ตนเองได้ แต่พวกเขายังเด็กเกินไปที่จะใช้ความคิดสลับซับซ้อนขนาดนั้นได้

"ใช่แล้ววันนี้เราจะได้กินเนื้อกัน"

เด็กสองคนหันไปสบตากันอย่างไม่เชื่อหู ตั้งแต่เกิดมาพวกตนไม่เคยลิ้มลองรสชาติของเนื้อเลยด้วยซ้ำไป เคยเพียงได้กลิ่นยามที่ลูกของป้าสะใภ้ใหญ่ได้ทานเนื้อ ท่านย่ากล่าวว่าให้พวกพี่ชายได้กินเนื้อบำรุงเพราะต่อไปพี่ชายทั้งสองจะเข้าเรียน ส่วนพวกเขาเป็นพวกไร้ประโยชน์ไม่จำเป็นต้องกินของดีๆ แค่แผ่นแป้งจี่ถือว่ามากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel