บทที่ 2 เด็กสาวที่ร้ายกาจและน่ารังเกียจ 2/1
นอกจากเว่ยอ้ายเหม่ยจะเป็นคนขี้เกียจแล้ว เด็กสาวก็ยังไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอีกด้วย เพราะเธอมักจะตัดพ้อว่าครอบครัวของตนเองนั้นไม่เหมือนบ้านใหญ่ อีกทั้งยังมีเงินน้อยนิดแทบจะไม่พอใช้จ่าย แล้วปู่กับย่าก็มาลำเอียงอีก เพราะมีอะไรก็เอาให้บ้านใหญ่ไปหมด
ในขณะที่เด็กสาวกำลังเอนกายอย่างสบายใจ ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า จึงรีบวิ่งกลับบ้านทันที
ระหว่างทางกลับบ้าน เว่ยอ้ายเหมยเห็นว่าพ่อและคนอื่นในครอบครัวกำลังเดินกลับบ้านเช่นกัน จึงรีบเดินเข้าไปหา ก่อนจะรีบฟ้องในสิ่งที่ตนเองเห็น “พ่อ...พวกบ้านใหญ่มันมาขนเอาข้าวของพวกเราอีกแล้ว”
“ให้เขาเอาไปเถอะ เห็นว่าข้าวที่บ้านใหญ่ไม่พอ พวกเขาอยู่กันหลายคน” เว่ยเฉียนตอบกลับลูกสาว คล้ายกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับเขาเสียแล้ว
“พ่อพูดแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ พ่อคิดว่าบ้านของพวกเราคนน้อยหรือไง ลุงใหญ่ขนไปตั้งหลายกระสอบขนาดนี้ แล้วพวกเราจะมีข้าวกินจนถึงวันที่ทางการจะแจกข้าวรอบต่อไปไหม” ทันทีที่ได้คำตอบของผู้เป็นพ่อเด็กสาวจึงโวยวายออกมาอย่างไม่ยินยอม
เวลานี้เด็กสาวไม่พอใจเป็นอย่างมากที่พ่อของเธอยอมบ้านใหญ่ไปเสียทุกอย่าง จึงพูดต่อว่าออกไปอีก “วันนี้มาเอาข้าว ก่อนหน้านี้ก็มาเอาเนื้อมาเอาผักที่หาได้ แล้วอย่างนี้จะให้บ้านรองกินอะไร เงินที่ทำงานหามาได้ก็ต้องไปซื้อข้าวซื้อของจากตลาดมืดมา แถมราคาก็แพงแสนแพง อย่างนี้จะไปลืมตาอ้าปากได้อย่างไรกัน
บ้านรองของเรานั้นยากจนแสนเข็ญจนแทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว เพราะแม้จะแยกบ้านออกมาแล้วแต่ก็ยังโดนบ้านใหญ่เอาเปรียบอยู่แบบนี้ ทั้งชอบมาแย่งอาหารและเงินไปจนหมด ทุกอย่างที่มันเป็นอย่างนี้ ก็เพียงเพราะคำว่ากตัญญูคำเดียว แบบนี้มันยุติธรรมแล้วเหรอ” เธอพูดออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ
เว่ยเฉียนไม่ตอบ เขาได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ออกมาอย่างหมดหนทาง เพราะมันก็จริงอย่างที่ลูกสาวพูดออกมา ทั้งหมดมันก็เพราะถูกคำว่ากตัญญูค้ำคอไว้จริงๆ
“ไม่รู้ล่ะ คราวหน้าฉันจะไม่ให้พวกบ้านใหญ่มาเอาอะไรจากบ้านเราไปอีก จะนั่งเฝ้านอนเฝ้าอยู่หน้าบ้านทุกวัน ถ้าของกินพวกเขาไม่พอก็ให้ไปหาซื้อเอาเองบ้างสิ ไม่ใช่มาหยิบเอาของคนอื่นแบบนี้” เว่ยอ้ายเหม่ยประกาศกร้าวเสียงดังอย่างไม่กลัวว่าใครจะมาได้ยิน ได้ยินสิดีจะได้รู้ว่าเธอไม่พอใจที่บ้านใหญ่ทำแบบนี้
“อ้ายเหม่ย” ทั้งพ่อ แม่ และพี่สะใภ้ทั้งสองเมื่อเห็นว่าเว่ยอ้ายเหม่ยเสนอตัวที่จะนั่งเฝ้าของก็ถึงกับตกตะลึงพรึงพรืดจนต้องร้องเรียกชื่อเธอออกมาพร้อมกัน เพราะไม่คิดว่าเด็กสาวผู้ขี้เกียจสันหลังยาวของบ้านจะมีความคิดแบบนี้ขึ้นมา ทั้งสี่ต่างก็มองหน้ากันไปมาอย่างุนงง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เว่ยอ้ายเหม่ยก็ไม่ไปที่แม่น้ำอีกเลย แต่กลับมานั่ง ๆ นอน ๆ กินขนมอยู่ที่บ้านรองเว่ยแทน และถึงแม้ว่าจะอยู่บ้านก็จริง แต่เธอก็ยังไม่ช่วยทำงานบ้านตามเคย เด็กสาวบอกกับทุกคนว่าจะขอทำหน้าที่เฝ้าของอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นงานอย่างอื่นห้ามใช้เธอโดยเด็ดขาด เว่ยอ้ายเหม่ยคนนี้จะไม่ทำเพราะมันเหนื่อยเกินไป
อีกอย่าง ตัวของเว่ยอ้ายเหม่ยไม่ค่อยถูกกับญาติผู้พี่สายหลักสักเท่าไร นั่นเป็นเพราะว่าญาติผู้พี่มักจะมาแย่งของของเธอไปเสมอ อย่างเมื่อตอนยังเด็ก เธอชอบไปเก็บผลไม้ป่าในป่าด้านหลังหมู่บ้าน พอกลับมาถึงบ้าน ญาติผู้พี่ของเธอก็จะมาแย่งเอาผลไม้ป่าที่เธอเก็บมาไปจนหมด ตอนนั้นเธอยังตัวเล็กจึงสู้ไม่ได้ แต่ว่าเวลานี้เธอโตขึ้นแล้ว จึงไม่ยอมให้ญาติผู้พี่มาทำร้ายได้ง่าย ๆ อีก
ความจริงแล้วเด็กสาวไม่อยากจะเป็นคนร้ายกาจนักหรอก แต่เพราะเธอกับครอบครัวถูกบ้านใหญ่เอาเปรียบมาตลอดตั้งแต่ตอนที่เริ่มจำความได้ จะบอกว่าถูกเอาเปรียบจนถึงขั้นต้องแยกบ้านเลยก็ว่าได้ แต่นี่ขนาดแยกบ้านออกมาแล้ว บ้านใหญ่ก็ยังตามมารังควานอีก เธอจึงจำเป็นต้องร้ายตอบเพื่อต่อสู้กับคนนิสัยแย่ ๆ อย่างบ้านใหญ่อย่างไรล่ะ