

บทที่2
เช้าวันต่อมา
เสียงเปิดประตูเรียกให้หญิงสาวต่างภพที่กำลังเก็บที่นอนหันกลับไปมองด้วยความสงสัย และไม่ใช่ใครที่ไหน ป้าปริกหัวหน้าแม่บ้านตึกใหญ่ และด้านหลังเองก็มีคนใช้ผู้ถือปิ่นโตเดินตามมาไม่ห่าง
คนเป็นหัวหน้าหันไปพยักพเยิดทางสาวใช้คนนั้นที่หล่อนไม่รู้จักชื่อ เถาปิ่นโตร้อนๆ จึงถูกวางไว้บนโต๊ะข้างกำแพง
บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบ..ต่างคนต่างไม่พูด เพียงมองเชิงกันอยู่
ซึ่งงามพิศเองก็ไม่แปลกใจนัก..เพราะในนิยายป้าปริกเป็นพี่เลี้ยงให้กับพระเอก และเห็นแก้วกัลยาตั้งแต่เด็ก ทว่านางไม่ได้เห็นด้วยเรื่องความสัมพันธ์ที่ทั้งสองหนุ่มสาวมีให้กัน
นางร้ายหน้าซื่อถูกอีกฝ่ายตราหน้าว่า 'ใฝ่สูง'
กลับกันในนิยายตอนแก้วกัลยากลับเมืองไทย เจ้าหล่อนมีแต่พฤติกรรมตามติดชีวิตพระเอก และยั่วโมโหเมียแต่งทุกครั้งที่มีโอกาส..ก็เป็นตัวป้าปริกที่คอยปกป้องนางเอกจากนางร้าย
วลีด่าเด็ดดวงที่ถูกยกย่องว่าเป็น MVP อีกตอนของเรื่องก็คือ
'นังตอแหล แพศยา..ร่านผู้ชาย สมแล้วที่เกิดเป็นลูกคนใช้'
สถานที่ที่โดนด่า ก็คือกลางงานเลี้ยงวันเกิดของท่านเจ้าสัว..แก้วกัลยาทั้งอับอาย ทั้งเคียดแค้น..หลังจบงานเจ้าตัวจึงแกล้งร้องไห้บีบน้ำตาให้สามีชาวบ้านช่วยจัดการให้
โดยไม่สำนึกคิดแม้แต่นิดว่าตน 'ไม่มีสิทธิ์' ควงชายหนุ่มออกงานตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่แปลกที่ทั้งคนข้างบน จนคนข้างล่างล้วนแต่เกลียดขี้หน้า
ดังนั้นถ้าอยากหลุดพ้นจากสถานการณ์ถูกกักขัง สิ่งแรกที่ต้องทำคือผูกมิตร หาพวก!
ทว่าก่อนที่หญิงสาวจะทันได้เอ่ยปากพูดเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี คนทั้งสองที่เกลียดขี้หน้าก็ทิ้งหล่อนไว้ในห้องเพียงลำพัง
งามพิศทำได้เพียงเดินไปยกปิ่นโตมานั่งกินเงียบๆ ในใจแสนจะหนักอึ้ง คิดถึงคุณพ่อคุณแม่เป็นที่สุด..อีกทั้งกังวลไปว่าในนิยายที่หล่อนอ่านมาทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องไหนที่ตัวเอกจะได้เดินทางกลับโลกยุคปัจจุบันเลยสักคน
หรือหล่อนจะต้องดำเนินรอยตามเรื่องอื่นๆ ปรับปรุงตัวเอง..ทำตนให้พระเอกหลงรักดีนะ? แต่วโรดมต่างจากเรื่องอื่นตรงที่เขาแต่งงานแล้ว..ถ้าหล่อนทำแบบนั้นก็ไม่ต่างจากการแย่งผัวชาวบ้านไหม?
ในหัวของคนหน้าสวยได้แต่ตีกันยุ่งไปหมด
คนโดนขังได้แต่นั่งรอพระเอกของเรื่องให้เข้ามาคุยกัน ที่สำคัญเธอต้องหาวิธีเอากำไลem ที่เท้าสุดแสนจะน่ารำคาญออกให้ได้ ไม่รู้ว่าตาบ้านั่นไปสรรหามาจากไหน
ทว่ารอจนบ่ายวโรดมก็ยังไม่มา เห็นเพียงเพื่อนคนใช้ที่โตขึ้นมาด้วยกัน หรือมะลินำข้าวเที่ยงมาส่งให้
"มะลิ" เธอเรียกเสียงแผ่ว..แต่ใบหน้าเล็กที่อยู่ตรงหน้ากลับเลือกที่จะหลุบลง ก่อนจะรีบเดินออกไป
แก้วกัลยาตัวปลอมถอนหายใจหงุดหงิด ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยกวาดตามองที่ถูกขังไว้อีกรอบ..แม้ในเรือนจะไร้ฝุ่น ทว่าด้วยเป็นเรือนร้างไร้ผู้คนอยู่มาเนิ่นนาน..ก็ยังแฝงด้วยกลิ่นอับจางๆ ที่เธอไม่ชอบเลยแม้แต่นิด
งามพิศเติบโตมากับพ่อผู้มีงานอดิเรกทำน้ำหอม ปลูกต้นไม้ดอกไม้..ชอบตัดชุดให้ภรรยาใส่ กับมารดาผู้รักสวยรักงาม รักความสะอาดเป็นที่สุด หล่อนแทบทนอยู่ในห้องที่มีกลิ่นอับไม่ได้
'เวลาหนูพิศเครียด ไม่สบายใจ..ให้หนูถือไม้กวาดขึ้นมากวาด..เมื่อหนูรู้สึกโกรธให้หยิบแปรงล้างห้องน้ำมาขัดนะลูก'
'แล้ว...หนูพิศจะหายเหรอคะ' เธอเคยถามคุณพ่อไปอย่างนั้น เพราะเธอไม่สบายใจที่ต้องทะเลาะกับเพื่อนที่โรงเรียน
ทว่าใบหน้าสวยไม่แพ้ผู้หญิงเพียงส่งยิ้มละมุนมาให้ ตอบเธอด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
'คุณพ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน'
'อ้าว แล้วคุณพ่อทำไมถึงแนะนำพิศแบบนั้นละคะ'
'ก็..ถ้าสิ่งของรอบๆ ตัวเราสะอาด เต็มไปด้วยกลิ่นหอม..เราจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นไงล่ะ'
'อ๊ะ หนูพิศรู้แล้วทำไมคุณพ่องอนคุณแม่แล้วคุณพ่อชอบไปล้างห้องน้ำ' เด็กสาวกอดแขนแกร่งแซวบิดาด้วยน้ำเสียงร่าเริง เพราะตั้งแต่เกิดจนโต เธอแทบไม่เห็นบุพการีทะเลาะกันเลย...เวลาคนทั้งคู่โกรธกันก็ต่างคนต่างไปทำสิ่งอื่น พออารมณ์เย็นลงจึงค่อยกลับมาคุยกัน คำพูดที่ใช้จึงแทบไม่มีคำพูดแรงๆ แม้แต่ครั้งเดียว
บรรยากาศในบ้านจึงเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นอย่างหาจากที่อื่นไม่ได้..ทว่าเมื่อคิดถึงคนอีกโลกดวงตาคู่สวยก็รื้นน้ำใสๆ ขึ้นมาทันที
ไม่..หล่อนต้องรอด!!!
อย่างแรกที่ต้องทำคือทำบ้านให้สะอาด และน่าอยู่ก่อน
กว่าจะรู้ตัวร่างเล็กก็ลากสังขารไปเปิดหน้าต่างที่ถูกกั้นด้วยลูกกรงเหล็กดัดลายไม้เถาประณีตตามสมัยนิยมยุคก่อน ภายนอกเรือนเต็มไปต้นไม้รกชัน
แสงสว่างถูกสาดเข้ามาภายในห้องเล็กที่ตอนนี้มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น..เตียงเดี่ยว ตู้เสื้อผ้าไม้ขนาดย่อม และห้องน้ำในตัว..ยังดีภายในห้องน้ำยังพอมีอุปกรณ์ทำความสะอาดทั่วๆ ไปให้ได้ใช้
แก้วกัลยาใช้เวลาแทบทั้งบ่ายในการทำความสะอาดเรือนทั้งเรือนให้เอี่ยมอ่อง
เมื่อป้าปริก นำชบาสาวใช้รุ่นพี่ที่ไม่ถูกกับร่างเดิมเข้ามาพร้อมกะละมังใส่น้ำเตรียมสาดอีกคำรบ..ก็ถึงกับอึ้ง
เมื่อคนที่ควรร้องไหัโวยวาย ดันเลือกที่จะลากเก้าอี้มานั่งนิ่งสงบเป็นสง่าราวกับรออยู่ก่อนแล้ว..สายตาราวลูกกวางน้อยทอดมองไปยังนอกหน้าต่าง แสงแดดยามเย็นที่สาดเข้ามายิ่งทำให้เจ้าหล่อน..งดงามบริสุทธิ์ราวกับภาพวาด
ถ้าไม่ติดที่ข้อเท้ามีกุญแจ em ล็อกไว้อยู่ ก็คงคิดว่าเจ้าหล่อนคือลูกคุณหนูที่ไหน หาใช่ลูกคนใช้ตามที่มีสถานะจริงๆ
"ป้าปริก กับชบาเอาข้าวมาให้แก้วเหรอคะ" เสียงหวานตั้งคำถามขึ้น พร้อมส่งยิ้มอ่อนโยน
คนอายุมากกว่าแต่เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก เดิมมีความตั้งใจจะมา 'ย้ำเตือน' ไม่ให้ยุ่งกับคุณชายรอง เพราะคุณวินของทุกคนแต่งงานแล้ว
ทว่าอะไรบางอย่างโดยเฉพาะบรรยากาศรอบตัวที่ดูผิดแผกไป จากผู้หญิงขี้อาย..บอบบาง ขี้กลัว..ไม่กล้าสบตาคน เวลานี้กลับดูมั่นใจผิดเป็นคนละคน มันจึงทำให้ผู้มาใหม่ไปไม่ถูกอยู่ชั่วครู่
คงเป็นเพราะเม็ดเงินที่คุณท่านฟาดหัวให้ไปร่ำเรียนต่างประเทศซินะ ถึงกล้าชูคอจองหองพองขน
ป้าปริกแม่บ้านใหญ่ที่อยู่มานานคิดเยาะหยัน
"เธอกลับมาทำไม?"
"ป้าปริกพูดแปลก ที่นี่บ้านเกิดแก้ว..แก้วก็ต้องกลับซิจ๊ะ"เธอพูดยิ้มๆ ใจดีสู้เสือ
คำตอบของคนตัวเล็ก..สร้างความไม่พอใจให้คนทั้งคู่ โดยเฉพาะชบาคนใช้ประจำตัวนางเอกของเรื่อง
"หน็อย..อีแก้วที่หล่อนกลับมาเพราะคุณหญิงท่านเสียแล้ว เลยคิดจะมาจับคุณวินต่อละซิ!"
"...."
"แก้ว..ฉันเตือนเธอดี ๆ นะ เกิดเป็นคนควรมีสามัญสำนึก..จริงอยู่ เธอกับคุณวินเคยคบกันมาก่อน แต่เมื่อเธอรับเงินคุณหญิงท่านแล้ว เธอควรทำตามสัญญา"
คำว่ารับเงิน...กระแทกใจคนฟังมาก เพราะตามนิยายคือแก้ว และแม่..โลภในตัวเงิน..จึงรับเงินก้อนโต
โดยแก้วกัลยานำเงินก้อนนั้นไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ทว่ากลับเรียนหนังสือไม่จบ..ตอกย้ำความไม่เอาไหน..ของทั้งแม่และลูก
ทว่าความทรงจำที่เป็น 'ความจริง' กับไหลบ่าเข้ามา แก้วกัลยาปฏิเสธการรับเงิน เพราะเธอกับพี่วินรักกันมาก
เราทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน..เขาเคยสัญญากับเด็กหญิงตัวน้อยว่า 'โตมาเราจะแต่งงานกัน'
ภาพเด็กหญิง..เด็กชาย ในวัยเด็กจับจูงมือเล่นกันหลังบ้าน
ภาพรอยยิ้มความทรงจำหวานชื่นยามเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ก่อเกิดเป็นความลุ่มหลงรุนแรง
ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมเลิกกับชายหนุ่ม แม้คำขอนั้นจะมาจากผู้มีพระคุณให้ข้าวให้น้ำ หรือแม้มารดาจะขอร้องก็ตาม
