บทที่9 หลานเขยผู้หล่อเหลา
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้วเสี่ยวหลันจื่อจึงเดินเข้าบ้าน ตั้งแต่ตื่นมานางยังไม่ได้กินอะไรเลย หิวจนสามารถกินหมูเข้าไปทั้งตัวได้แล้ว
“ท่านยายวันนี้มีอะไรกินบ้าง” แม่เฒ่าสวีที่ก่อนหน้านี้พาสามีไปแอบดูทั้งสองคนคุยกัน เพราะเป็นห่วงกลัวเขาจะทะเลาะกันรีบยิ้มเอาใจเสี่ยวหลันจื่อทันที
“จื่อเอ๋อวันนี้ยายทำแต่ของโปรดเจ้าทั้งนั้นเลยนะ มาๆ นั่งลงเดี๋ยวยายตักข้าวให้”
เสี่ยวหลันจื่อนั่งลงแต่โดยดี เมื่อลงมือกินข้าวเสี่ยวหลันจื่อเหลือบมองเซียวอี้เหิงที่นั่งหลังตรงท่าทางองอาจดั่งผู้สูงศักดิ์นั่งรับประทานอาหารในโรงเตี๊ยมชั้นสูง นางก็ถอนหายใจเบาๆ คนดูดีแม้แต่ตอนที่นั่งกินข้าวในสถานที่ซอมซ่อเช่นนี้ก็ยังเหมือนอยู่ในสถานที่ชั้นสูง
“ต้องขออภัยท่านอ๋อง ที่ต้องให้มานั่งรับประทานอาหารในบ้านหลังเล็กซอมซ่อเช่นนี้ อาหารพื้นๆ ธรรมดาคงจะไม่ถูกปากท่านเท่าใดกระมัง” เสี่ยวหลันจื่อพูดจาเหน็บแนมเขา
แต่เซียวอี้เหิงไม่ได้ตอบนาง เขาได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กเวลากินจะไม่พูด และกิริยาท่าทางของเขานั้นแสดงออกมาโดยธรรมชาติเพราะความสูงศักดิ์ของเขามันฝังลึกอยู่ในสายเลือด
ฮึ เสี่ยวหลันจื่อหมดอารมณ์ที่จะกิน นางวางตะเกียบทันทีแล้วยกชามข้าวเข้าไปในครัว
“อิ่มแล้วหรือจื่อเอ๋อ ทำไมวันนี้กินน้อยจังคงไม่ได้ไม่สบายกระมัง”
แม่เฒ่าสวีเดินตามหลังเสี่ยวหลันจื่อที่เดินเข้าครัวไป “ยังคงเป็นท่านยายที่เป็นห่วงข้า” แต่แม่เฒ่าสวีเดินมาตักข้าวอีกชาม ให้เซียวอี้เหิงทำให้เสี่ยวหลันจื่อดีใจเก้อ นางกะฟัดกะเฟียดเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับตะกร้าและอุปกรณ์ขึ้นเขาของนางพร้อมด้วยเจ้าเสี่ยวหงที่เหมือนเงาตามตัว
“ไปกันเสี่ยวหงที่นี่ไม่น่าอยู่เลยมีแต่มลพิษ เสี่ยวหลันจื่อพูดออกมาลอย ๆ เสียงดัง ฉีเยี่ยนกับฉีเหลยที่ยืนอยู่ในลานบ้านเป็นนายทวารบาลไม่ขยับไปไหนมองนางงงๆ ว่ามลพิษคืออะไร แต่ไม่น่าใช่ความหมายที่ดีแน่
เสี่ยวหลันจื่อเปิดประตูออกมา ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่ยังชุมนุมอยู่ใกล้ๆ หน้าบ้านของนางเพื่อรอดูพ่อหนุ่มรูปงานที่แสนเก่งกาจคนนั้น พวกเขารีบปราดเข้าไปถามเสี่ยวหลันจื่อทันที
“เสียวหลันจื่อ พ่อหนุ่มที่กระโดดเข้าไปในบ้านของเจ้าเป็นใครหรือ”
เป็นจางซื่อเพื่อนบ้านของพ่อเฒ่าหลิวที่เป็นคนเอ่ยถาม “ไม่รู้เจ้าค่ะคงเป็นคนรู้จักของท่านตากระมัง” เสี่ยวหลันจื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถาม
“จริงหรือ แต่เมื่อเช้าท่านลุงหลิวถามว่าเขามาหาใครแต่เขาไม่ตอบอะไรเลยนะยืนนิ่งเป็นรูปปั้นเชียว”
เสี่ยวหลันจื่อกลอกตา ทีนี้ฉลาดกันเชียว ใครว่าคนโบราณเชื่อคนง่าย
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ ข้าต้องไปแล้วขอตัวก่อน” เสี่ยวหลันจื่อเดินเลี่ยงชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็น
“เสี่ยวหง แกคงจะไม่ทรยศข้าใช่หรือไม่ อยู่ให้ห่างจากชายคนนั้นนะเขาเป็นตัวอันตราย” เสี่ยวหลันจื่ออุ้มเสี่ยวหงแนบอกเดินขึ้นเขาไป
“เจ้าว่าใครอันตราย”
เซียวอี้เหิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเสี่ยวหลันจื่อโน้มตัวมากระซิบข้างหูนาง เพราะความสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรทำให้เวลาเขาโน้มตัวมาหาเสี่ยวหลันจื่อที่สูงหนึ่งร้อยหกสิบห้า ทำให้ดูเหมือนเขากำลังโอบกอดนางอยู่
“เอ๊ะ ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ให้ซุ่มให้เสียง” เสี่ยวหลันจื่อตกใจ
“ถ้าข้าไม่มาเงียบๆ ก็คงไม่ได้ยินเจ้านินทาข้ากับเจ้ากระรอกดินนี่หรอก”
“ใส่ร้ายเกินไปแล้ว นี่ไม่เรียกว่านินทาแต่เรียกว่าสอนสั่งต่างหาก” เสี่ยวหลันจื่อเถียงข้างๆ คูๆ
“ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้า ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่” เสี่ยวหลันจื่อมองเขาอย่างระแวง เพราะนางกลัวเขาจะฆ่าหมกภูเขา เพราะนางเอาแต่เถียงเขาตลอดเวลา
“มาเดินเล่น” เซียวอี้เหิงตอบสั้นๆ
“เหอะ!!ช่างเป็นงานอดิเรกสมเป็นอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จริงเชียว นับถือ นับถือ” เสี่ยวหลันจื่อแสร้งยกมือคารวะเขา แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
“รู้งี้รีบเปิดระบบตรวจสอบซะก็ดี จะได้รู้เวลามีคนเข้ามาใกล้ๆ ประมาทจริงๆ” นางบ่นกับตัวเองเบาๆ แล้วเดินหนีไป
เสี่ยวหลันจื่อเดินหาเก็บสมุนไพรอย่างสบายอารมณ์เมื่อไม่เห็นเซียวอี้เหิงในระบบตรวจจับของนาง และเป็นอีกครั้งที่ เสี่ยวหงพานางไปเจอสมุนไพรล้ำค่าหลายอย่าง ฟังก์ชั่นตราจสอบรายชื่อสมุนไพรสามารถใช้ได้แค่ในระยะสายตาของนางเท่านั้นหากไม่รู้แหล่งก็ไม่มีความหมาย
หลังจากเสี่ยวหลันจื่อเก็บสมุนไพรจนพอใจนางก็เดินกลับหมู่บ้านพร้อมกับเสี่ยวหง ตลอดการเดินทางนางภาวนาขอให้เซียวอี้เหิงกลับไป แต่ดูเหมือน สวรรค์จะไม่เข้าข้างนาง
เขายืนอยู่ท่ามกลางการรุมล้อมของชาวบ้าน
แต่ต่างจากเมื่อเช้าที่ สีหน้าของชาวบ้านไม่ใช่อยากรู้อยากเห็นแต่แปรเปลี่ยนเป็นความยินดี
“กำลังยินดีเรื่องอะไรกันนะ ไปดูเรื่องสนุกกันเสี่ยวหง”
เสี่ยวหลันจื่อเดินตรงไปที่ชาวบ้านที่กำลังชุมนุมกันอยู่ นางสะกิดถามเด็กสาวอายุราวสิบสองสิบสามคนหนึ่งที่นางจำได้เเค่หน้าตาแต่จำชื่อไม่ได้
“ทำอะไรกันอยู่หรือ มีเรื่องน่ายินดีอะไรกัน” เสี่ยวหลันจื่อถามนาง
“เอ๊ะ พี่เสี่ยวหลันจื่อท่านกลับมาแล้วหรือ “เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้า
“แล้วมีเรื่องน่ายินดีอะไรทำไมชาวบ้านมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้”
“จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ ก็เรื่องของท่านน่ะสิ ยินดีด้วยนะพี่เสี่ยวหลันจื่อสามีของท่านหล่อเหลามากพวกท่านทั้งสองคนเหมาะสมกันมากเลย”
เสี่ยวหลันจื่อยืนงง ด้วยความสงสัยและชาวบ้านที่เห็นนางมาก็ต่างพากันยินดีและอวยพรนางกันเซงแซ่ มีทั้งคนที่ยินดีจากใจจริงและคนที่อิจฉามาร่วมอวยพร
“เดี่ยวก่อน นี่พวกท่านกำลังล้อเล่นอะไรกัน สามีอะไร”
“จื่อเอ๋อ เจ้าไม่ต้องอายหรอกชาวบ้านรู้เรื่องของเราสองคนหมดแล้ว”
เสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นทำให้นางสะดุ้งจนตัวโยน ขนทั่วร่างของนางลุกชันขึ้นพร้อมกัน จื่อเอ๋อหรือ นี่เขากำลังคิดทำบ้าอะไร
“ท่านพูดจาเหลวไหลอะไรให้พวกชาวบ้านบ้านฟัง” เสี่ยวหลันจื่อเดินเข้าไปใกล้เขากัดฟันพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน เซียวอี้เหิงยกยิ้มมุมปากอย่างเห็นได้ยากนัก
“ข้าแค่พูดความจริง” เขาโน้มตัวลงมาพูดใกล้ๆ ใบหน้านางทำให้เหมือนทั้งสองกำลังจะจูบกัน สิ่งที่ชาวบ้านที่ยืนอยู่รอบๆ เห็นคือเซียวอี้เหิงกำลังแสดงความรักกับเสี่ยวหลันจื่อ พวกเขาถึงกับเขินอายจนหน้าแดงที่มองเห็นการแสดงความรักของทั้งสอง