ตอนที่ 7 อยากไปหาของป่า
คำพองหันมาถามลูกสาวด้วยแววตาฉงน “รู้เหรอว่าเห็ดไหนกินได้กินไม่ได้” ทุกครั้งที่ให้ไปด้วยก็ถามทุกครั้งจนคนโดนถามเมื่อยปากไปหมด เห็ดชนิดเดียวถามอยู่เป็นร้อยรอบ ทางที่ดีให้คำแก้วอยู่บ้านจะดีกว่า
“ให้ดวงบอกก็ได้ค่ะ จริงไหมจ๊ะดวง” คำแก้วหันไปขอความเห็นจากเพื่อน เธอมีความจำดี ถามแค่ครั้งเดียวก็รู้หมดว่าเห็ดชนิดนั้นกินได้หรือไม่
“คำแก้วหายป่วยแล้วเหรอ” ดวงนภาได้ยินข่าวว่าเธอป่วยหนักมาหลายวัน นี่ก็คงเพิ่งฟื้นจากการเป็นไข้ จะมีแรงไปเดินป่าเดินดงได้อย่างไร ก่อนป่วยคำแก้วเป็นผู้หญิงที่ถือว่าเป็นคนน่ารักผิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล ไม่ได้แห้งเหี่ยวเหมือนกับตอนนี้
“หายดีแล้วจ้ะ และก็แข็งแรงมากด้วย” คำแก้วถกแขนเสื้อยืดขึ้นแล้วทำท่าเกร็งกล้ามแขนทั้งสองข้างให้เพื่อนดู ถ้าเห็นเธอยกหินก้อนใหญ่แล้วทุกคนจะตะลึงในความสามารถของเธอ
ดวงนภายิ้มให้กับกล้ามเล็กเท่าหอยมดของเพื่อนแล้วเอ่ยขึ้น “งั้นก็ได้จ้ะ แม่ให้คำแก้วไปเก็บเห็ดกับฉันนะคะ แม่บุญรอดกับพ่อสิงก็ไปด้วยค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ดวงนภาหมายถึงแม่กับพ่อของเธอก็ไปด้วย
เธอไม่เคยคิดว่าคำแก้วเป็นภาระ กลับกันเธออยากช่วยเหลือเพื่อนเท่าที่จะช่วยได้ เวลามีใครมาล้อเลียนตอนไปเรียนหนังสือด้วยกัน ดวงนภาก็คอยปกป้องคำแก้วตลอด ถึงตอนนี้คำแก้วจะยังอ่านหนังสือไม่ออกก็ตาม เพราะเธอเพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นานและไปเรียนได้ไม่ถึงสองเดือนสมองรับไม่ไหวพ่อกับแม่จึงไม่บังคับเธอเรียนอีก ที่ผ่านมาคำแก้วโดนเพื่อนล้อเลียนและกลั่นแกล้งตลอด เธอจึงกลายเป็นคนเก็บกดและกลัวสังคมไปโดยปริยาย
คำพองยังมีสีหน้าเป็นห่วงลูกสาวแต่มีบุญรอดกับสิงหาไปด้วยเธอก็ค่อนข้างวางใจ เพราะพวกเขาคงไปไม่นาน
“อย่าไปนานมากนะแม่เป็นห่วง”
“ค่ะ งั้นเรากลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“จ้ะ” คำแก้วยิ้มและทำท่าโบกมือให้เพื่อน
ดวงนภาเดินหันหลังกลับไป ไม่วายที่จะหันกลับมามองเพื่อนด้วยความสงสัย ทำไมวันนี้คำแก้วถึงได้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่เหมือนคนที่เพิ่งหายป่วยเลยสักนิด แถมยังพูดเก่งและลำดับคำได้ดีกว่าเดิมด้วย
อาหารเย็นวันนี้ก็คงหนีไม่พ้นต้มข้าวเหนียวใส่ผักโขม แต่วันนี้มีขนุนสุกที่ดวงนภาเอามาให้อย่างน้อยก็มีผลไม้กินตบท้าย น้องทั้งสองไปรับจ้างตัดปอได้เงินรวมกันทั้งหมดแปดบาท คำพาได้ห้าบาทส่วนคำแพงได้สามบาท แต่ถึงกระนั้นทั้งสองก็ดีใจจนเนื้อเต้น
“พ่อคะบนภูเขาลูกนี้มีใครไปเก็บของป่าหรือล่าสัตว์บ่อยไหมคะ” คำแก้วเอ่ยถามเมื่อนั่งรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
“ของป่ากับสัตว์น่ะมี แต่ไม่ค่อยมีใครเขาไปหากันหรอก หรือถ้าไปก็ไปไม่นานและก็เข้าไปไม่ลึกมาก” ไปไม่เกินสองชั่วโมงก็กลับกันแล้ว
“ทำไมเหรอคะ”
“เขากลัวโจรดักปล้นกลางทาง”
“ที่นี่มีโจรด้วยเหรอคะ” คำแก้วถามคล้ายกับประหลาดใจ
เข้มมองตากับภรรยาก่อนตอบลูกสาว “มีสิ” คืนวันที่โจรมาปล้นคำแก้วก็ยังป่วยไม่ได้สติจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“วันก่อนมันก็มาปล้นบ้านพวกเรา พ่อเราโดนพวกมันเหยียบขาจนเลือดไหลแน่ะ พี่คำแก้วไม่สบายก็เลยไม่เห็นพวกมัน” คำแพงบอกพี่สาว คืนนั้นเป็นอะไรที่ระทึกขวัญมาก
คำแก้วมองขาของพ่อที่มีผ้าขาวพันแผลไว้ก็เห็นว่ามีเลือดไหลซึมออกมาเช่นกัน
“มันเอาเงินพวกเราไปจนหมด ดีที่ผมซ่อนเหรียญสลึงไว้ในปากตอนเช้าถึงได้มีเงินไปซื้อไข่” คำพาเล่าให้พี่สาวฟัง
“ถ้าเราไม่ให้เขาละคะ”
“พวกมันก็จะฆ่าเรา” เข้มกล่าวเสียงเรียบแต่แววตาดูหม่นลง
“ถึงกับฆ่ากันเลยเหรอคะ” คำแก้วทำหน้าตาตื่น ที่นี่ฆ่ากันเหมือนผักเหมือนปลาเลยหรือ
คำพองจึงตอบลูกออกไป “ใช่จ้ะ ถ้าเราไม่ให้เขา เขาก็จะฆ่าเรา” แล้วต่อไปก็คงต้องให้มันเรื่อย ๆ เพราะโจรพวกนั้นมันรู้แล้วว่าสามีเธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้
“แล้วขาพ่อทำไมถึง…”
“ก็พวก…”
“พ่อโดนรถยนต์เหยียบ ก็เลยต้องตัดขา” เข้มรีบสวนขึ้นก่อนที่คำพาจะพูดจบ เขาไม่อยากให้คำแก้วมีความทรงจำที่ไม่ดี เพราะเธอเป็นคนขี้กลัว เขาไม่อยากให้เธอหวาดผวาโจรพวกนั้นจนเกินไป ถึงแม้ตอนนี้คำแก้วจะดูกล้าหาญขึ้นก็ตาม อย่างไรเสียเขาก็มองว่าลูกสาวอ่อนไหวกับอะไรง่าย ๆ อยู่ดี
“อ้อ ค่ะ” คำแก้วพยักหน้าอย่างเข้าใจทั้งที่สีหน้าของพ่อยังเหมือนมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในใจก็ตามแต่เธอก็เลือกที่จะไม่ถามต่อ สงสัยร่างนี้ยังไม่เคยเจอกับโจรความทรงจำของเธอถึงได้ว่างเปล่าเช่นนี้
ได้ยินพ่อพูดเช่นนั้นทุกคนจึงเงียบปาก เพราะรู้ว่าคำที่จะพูดออกไปนั้นหาสมควรไม่
ภายในห้องนอนประมาณยี่สิบห้าตารางเมตร ทุกคนนอนเรียงกันเหมือนปลาทูนอนอยู่ในเข่ง ต่างกันตรงที่หน้ากับเท้าไม่งอ และคอไม่ได้หักแค่นั้น มุ้งยังไม่มีจะกาง มีผ้าเนื้อค่อนข้างหยาบห่มไว้คนละผืน
ทุกคนนอนหลับไปแล้วแต่คำแก้วยังนอนตาแข็งอยู่อย่างนั้น เธอกำลังคิดว่าจะหาทางช่วยครอบครัวได้อย่างไร เมื่อตอนหัวค่ำเธอแอบส่องดูข้าวสารในกระบุงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว หันหน้าไปมองฝั่งซ้ายมือเห็นทุกคนนอนหลับและส่งเสียงกรนออกมาให้ได้ยินเบา ๆ ก็ยิ่งรู้สึกสงสาร พวกเขาทำงานเหนื่อยกันทุกวัน กว่าจะหาเงินได้แต่ละบาทน้ำตาแทบกระเด็น
เช้าวันรุ่งขึ้นคำแก้วสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาไม่เจอแม่ คาดว่าเธออาจจะลุกมาหุงหาอาหาร เธอมองดูผ้าถุงของตัวเองด้วยความตกใจ ชายผ้าถุงเกือบจะเลื่อนขึ้นมาพันอยู่ที่เอวเพราะเธอไม่เคยสวมผ้าถุงนอน กว่าจะนุ่งได้เมื่อวานตอนอาบน้ำเสร็จก็ลองจนเมื่อย ชายผ้าถุงไม่เสมอกันก็ช่างมันเถอะ เธอจะสวมแบบนี้ ใครจะมองยังไงเธอก็ไม่สนใจ
คำแก้วเดินย่องตามออกมา เมื่อคืนหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัวพอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดเมื่อยร่างกายไม่น้อย พื้นบ้านมันแข็งเกินไปเธอจึงยังไม่ค่อยชิน
แต่เอาเถอะ! มีที่ให้นอนก็ดีแล้ว ใช่ว่าที่เรียนปริญญาตรีมาสี่ปีเธอจะไม่เคยลำบากเลย
เสียงคำพองหักกิ่งไม้เล็กใส่ในเตาไฟเพื่อเป็นเชื้อเพลิง สายตาเธอหันมามองเมื่อรู้สึกเหมือนมีคนเดินมาด้านหลัง