ตอนที่9 ศึกแรก ภายใต้แสงจันทร์
เผลอแป๊ปเดียว นัทในร่างหลงอี้เฟย ใช้ชีวิตอยู่ในมิติแห่งนี้เกือบ2 เดือนแล้ว กิจวัตรประจำวัน คือต้องปฎิบัติตามโปรแกรม ที่ NP09 ได้วางแพลนเอาไว้ เริ่มฝึกแต่เช้ามืด กลางวันไปเรียนตามปรกติ กลางคืน เข้ากรรมฐานฝึกพื้นฐานลมปราณ เป็นเยี่ยงนี้ตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมา โดยมีเจ้าอ้วนอู๋กวงมาเข้าร่วมการฝึกนี้ด้วย ก่อนการฝึกนัทได้เปิดเส้นลมปราณสำคัญๆให้แก่เจ้าอ้วนอู๋กวง ภายใต้คำแนะนำของNP09
เจ้าอ้วนแม้จะสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถามมากความ นายน้อยให้ทำเช่นไรก็ปฎิบัติตามแต่โดยดี ส่งผลให้ นัทมีความชำนาญในการใช้ลมปราณมากขึ้น อีกทั้งยังได้ฝึกไทเก็ก ฉบับดั้งเดิม ตามที่ NP09 ดาวน์โหลดข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ถ่ายทอดให้แก่นัท ใช้เป็นแนวทางในการปรับพื้นฐานลมปราณของตน และเสริมด้วยวิชาตัวเบากระบวนท่าเท้าสายลมอัสนี จนนัทก้าวเข้าสู่ลมปราณเจ้ายุทธขั้นที่3 ถือเป็นความสำเร็จแบบก้าวกระโดด หากจะว่าไปแม้น ยอดฝีมือในมิติแห่งนี้ฝึกหนักกว่านัทก็ตาม ก็ยากที่จะเป็นคู่มือ ข้อมูลในเรื่องนี้้ มีเพียงNP09 ที่รู้สึกประหลาดอยู่ใจ นัทเป็นเพียงมนุษย์ที่ข้ามมิติมายังอีกโลก โลกที่เต็มไปด้วยการใช้กำลัง ถือเป็นความเด็ดขาด ไฉนธาตุลมปราณในตัวนัทถึงตอบสนองต่อขั้นตอนในการฝึกยุทธได้เป็นอย่างดี เสมือนบุคคลผู้นี้ เกิดมาเพื่อเป็นนักสู้แห่งมิตินี้
ในส่วนของ NP09 นั้นบัดนี้ได้อัพเกรดตัวเองผ่าน20%เป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
ทว่าความสำเร็จนี้ทั้งของนัทและการพัฒนาอัพเกรดตนเองของNP09 รู้เพียง NP09 เท่านั้น ไม่ว่านัทจะถามว่าเพียงพอจะเป็นยอดยุทธได้รึยัง NP09 มักจะตอบกลับไปว่า
[ความก้าวหน้าระดับนี้ คิดไปต่อยตีกับอันธพาลทั่วๆไปนะสบาย แต่... หากไปต่อสู้ถึงขั้นเดิมพันด้วยชีวิตแล้วล่ะก็ ผมว่าเจ้านายเชือดคอตัวเองน่าจะตายอย่างสบายซ่ะกว่า....]
เล่นให้กำลังใจขนาดนี้ นัทในร่างหลงอี้เฟย มีรึ จะไม่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกอย่างเอาเป็นเอาตาย ผนวกกับตนมีพื้นฐานการฝึกมวยไทยมาจากโลกในมิติเดิม จึงเป็นเรื่องไม่ยากเย็นอะไรที่จะนำมาประยุกค์ใช้กับขั้นตอนการฝึกในมิตินี้
ส่วนเจ้าอ้วนอู๋กวง NP09 วิเคราะห์ถึงโครงสร้างและพื้นฐานลมปราณแล้ว ถึงได้รู้ว่าเจ้าอ้วนมีสรีระสัดส่วนเหมาะในการฝึกวรยุทธสายพละกำลัง ความแข็งแกร่ง โดยเสริมด้วยพื้นฐานลมปราณ จึงมุ่งเน้นให้ฝึกวิชาร่างวัชระอันเป็นวิชาที่ใกล้เคียงกับการฝึกเพื่อเป็นมนุษย์ทองคำแห่งเส้าหลิน
นับว่ามีการพัฒนาในเชิงยุทธตามหลัง นัทเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง
ในส่วนของหลงอี้เฟยตัวจริงที่อยู่ในสภาวะจำศีลนั้น บัดนี้ เริ่มเข้าสู่ภาวะปรกติทางวิญญาณ สามารถสื่อสารกับนัท และNP09 โดยผ่านมิติแห่งจิต เป็มอีกมิติที่ NP09 สร้างจำลองขึ้นมา
นัทและNP09 ปรึกษาหารือกัน เห็นควรให้หลงอี้เฟย ได้มีทักษะในเชิงยุทธเพื่อเสริมสร้างพลังวิญญาณให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อวันข้างหน้าได้เป็นผู้ช่วยนัทอีกแรง ซึ่งหลงอี้เฟยก็ยินดีเข้าสู่คอร์สการฝึกแบบมหาโหด โดยNP09 สร้างสนามฝึกในมิติแห่งจิตจัดโปรแกรมพิเศษแบบสุดๆ
เรียกได้ว่าไม่ต่างจากนัทและเจ้าอ้วนอู๋กวงที่อยู่ภายนอกเลยด้วยซ้ำ
กลับมาที่สถานการณ์ภายนอก ด้วยที่ผ่านมา องค์หญิงจื่อเว่ยติดภาระกิจต้องออกรับแขกเมืองกับฮ่องเต้ จึงฝากให้หม่าฉินซวงมาคอยดูแล นัทอยู่ห่างๆและถือเป็นการ สังเกตการณ์ไปในตัว มีอะไรผิดปรกติให้รีบรายงานโดยตรง แต่เท่าที่หม่าฉินซวงได้ติดตามมาตลอดเกือบสองเดือน ที่เห็นก็คือหลงอี้เฟยมีพัฒนาการด้านสรีระที่ดูแข็งแกร่งบึกบึนขึ้น จากการฝึกฝนด้วยตนเอง อีกทั้งเจ้าอ้วนอู๋กวงด้วยอีกคนจากเจ้าอ้วนพุงพุ้ย บัดนี้เป็นชายร่างยักษ์ เข้มแข็ง ลมปราณของอู๋กวง จากการที่หม่าฉินซวงได้แอบทดสอบ ปรากฎว่าไปแตะที่ พิภพขั้นที่ 5 ซึ่งหม่าฉินซวงเข้าใจว่าเพราะเกิดจากการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงจึงกระโจนก้าวหน้าเช่นเดียวกับหลงอี้เฟย
ส่วนหลี่เฉียงจิ้งพักนี้ไม่ค่อยอยู่ในสถานศึกษาหลวงกวงหมิง ด้วยถูกอำมาตร์หลี่ผิงเจียนผู้เป็นปู่คอยเรียกตัว เป็นตัวแทนคณะนักศึกษาของสถาบันออกไปต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเพื่อจะได้มีผลงานและได้ใกล้ชิดองค์หญิงจื่อเว่ย แต่มิวายส่งบรรดาลูกสมุนมาด้อมๆมองๆหาข่าว แต่ก็มิอาจเข้าถึงตัวหลงอี้เฟยได้ เพราะโดนหม่าฉินซวงเข้าสกัดไว้ซ่ะก่อน แต่ก็พอจะได้ข่าวมาว่า หลงอี้เฟยเอาแต่ วิ่ง ว่ายน้ำ และเข้าเรียนตามปรกติ จึงล่ะความสนใจไปได้ระยะหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่บางส่วน นัทพยายามหลบเลี่ยงไม่ทำตน ให้เป็นจุดสนใจ จากผู้อื่นมากจนเกินไป จึงทำตัวกลมกลืนดุจนักศึกษาของสถาบันทั่วไป ใช้เวลาว่างศึกษาหาของมูลการใช้ชีวิตในโลกต่างมิติแห่งนี้ มิได้ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์
จนกระทั่ง ค่ำคืนแห่งจันทราสาดแสงไปทั่วหล้า นัทกำลังเข้าสู่สมาธิเพื่อการปรับสมดุลแห่งลมปราณภายใน โสตประสาทอันละเอียดขึ้นกว่าแต่ก่อน สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง วูปเข้ามาในสภาวะจิตที่นิ่งอยู่ในขณะนั้น ทำให้นัท เร่งรุดทะยานร่างออกติดตาม ถีบตัวลอยสลับเท้าด้วยกระบวนท่าสายลมอัสนีที่ตนฝึกใช้จนเกิดความชำนาญ ไม่นานร่างสูงโปร่งของนัทไปปรากฎอยู่เหนือหลังคาที่พัก ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นกระเบื้องแทบไม่ปรากฎเสียงใดๆ บ่งบอกถึงความสูงส่งของวิชาตัวเบาท่าเท้าสามลมอัสนี มิเสียทีที่ตนได้คร่ำเคร่งฝึกปรือ ในกลยุทธพื้นฐานของการต่อสู้ สำคัญที่สุดคือการประเมินคู่ต่อสู่ของตน หากสู้มิได้ มิสู้ถอยให้ไวดุจปีศาจ อย่าได้ฝืนทำสิ่งที่เกินกำลังตน หาไม่แล้วอาจแลกมาด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย
แต่ทว่า... บุคคลที่ยืนหยัดรออยู่เบื้องหน้า ด้วยท่าทางองอาจ ชุดขาวยาวที่สวมใส่โปกสะบัดพริ้วไหวไปตามทิศทางของลมในยามราตรีลักษณะยืนมือไขว้หลัง อย่างสบายในอารมย์ เพียงรอการมาถึงจากบุรุษต่างมิติ ทันทีที่นัท จรดปลายเท้าสัมผัสพื้น บุรุษผู้องอาจในชุดขาวมิกล่าวสิ่งใด สลับเตะปลายเท้าถีบทะยานเหินร่างขึ้นสู่เบื้องบน ไขว้สลับมือซ้ายขวาคราหนึ่ง ก่อนเหวี่ยงฟาดฝ่ามือเข้าใส่ บุรุษต่างมิติ พลังฝ่ามือก่อรูปเป็นพลังอัดแน่นสายหนึ่ง พุ่งตรงมายังนัท ที่เตรียมตั้งรับฝ่ามือนี้อยู่ก่อนแล้ว นับเป็นกระบวนท่า ฝ่ามือแรก ที่แฝงเร้นไปด้วย พลังปราณที่มิอาจดูแคลน ตั้งแต่นัทเหยียบย่างเข้าสู่โลกต่างมิติแห่งนี้
ชายหนุ่มต่างมิติ มิได้แสดงท่าทีประหวั่นกริ่งเกรงต่อกระบวนท่าฝ่ามือชุดนี้แต่อย่างใด พลางเหยียดแขน เร่งโคจรลมปราณ
หยิบยืมสภาวะพลังฝ่ามือที่ซัดมา พลันเบี่ยงหลบและสะบัดซัดฝ่ามือตีโต้กลับไป อย่างเหนือชั้น เกินความคาดหมายของบุรุษชุดขาวผู้มาเยือน บุรุษปริศนานั้นพลันเร่งปราณสะบัดฝ่ามือเข้าปะทะฝ่ามือโต้กลับชุดนี้ของนัท ทั้งดีดตัวกลับควงร่างหมุนกลางอากาศ ไปหยุดยืนเผชิญหน้ากับนัท ที่รออยู่ก่อนแล้ว บุรุษทั้งสอง หนึ่งองอาจในชุดนักศึกษาสีดำ
อีกหนึ่งผู้มาเยือนท่าทางสง่างามในชุดขาวยาว ทั้งคู่สบตากันภายใต้แสงจันทร์ ในยามราตรี
จากการปะทะเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา บ่งบอกความสูงส่งในวรยุทธของคนทั้งคู่นั้นยาก ที่จะเอ่ยว่าใครสูงล้ำกว่าใคร
นัทส่งยิ้มละมัยที่มุมปาก
ก่อนเอ่ยออกมา.......
%%%%%%%%%%%%%%%%
ใครกันคือ บุคคลปริศนา ผู้นั้น....
ติดตามอ่านได้ในตอนต่อไปครับ
//ขอบคุณครับ