บทที่10 ขายบ่าวทรยศในจวน
เดิมนางคิดที่จะจากไปโดยทิ้งจวนตระกูลหยวนให้อยู่ในความดูแลของมารดา แต่ดูเหมือนนางจะชะล่าใจจนเกินไป จึงทำให้จวนของนางอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์ชายห้าได้ หยวนชิงหลิงเดินไปหามารดาและท่านย่าที่พักอยู่ในเรือนเดียวกัน เพื่อสะดวกต่อการดูแล
“ท่านย่า ท่านแม่ อี้เอ๋อ ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกพวกท่าน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เราทุกคนจำต้องตัดสินใจร่วมกัน”
หยวนชิงหลิงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่เรือนของนางเมื่อคืนอย่างละเอียด ยกเว้นเรื่องที่นางถูกบุรุษชุดดำบังคับจูบ
“พวกเดรัจฉานเลี้ยงไม่เชื่อง กล้าสมคบคิดกับผู้อื่นทำร้ายนายเจ้าของจวนทั้งที่สัญญาทาสของพวกมันอยู่ในมือของข้า หลิงเอ๋อหลานทำถูกแล้ว ตอนนี้ตระกูลหยวนของเราก็เป็นอย่างนี้แล้วเราจะไว้ใจผู้ใดมิได้ ย่ามิใช่ผู้ที่จะยึดติดกับสิ่งของและวัตถุ สิ่งสำคัญคือเราจะต้องหาสถานที่ปลอดภัยกว่านี้เพื่อเลี้ยงดูอี้เอ๋อให้ดี ไม่อย่างนั้นองค์ชายห้าคงไม่ยอมปล่อยพวกเราตระกูลหยวนเอาไว้แน่”
มารดาของนางเองก็เห็นด้วยกับท่านย่า หยวนชิงหลิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางคิดว่าท่านย่าจะต่อต้านเรื่องที่นางเสนอไปเสียอีก
หนทางที่จะไปแคว้นเซียวต้องนั่งรถม้าถึงสองเดือน นางไม่รู้ว่าร่างกายของท่านย่าที่แก่ชราจะทนไหวหรือไม่ ในระหว่างที่หยวนชิงหลิงรู้สึกว่ามาถึงทางตัน แสงสว่างก็มักจะโผล่มานำทางอยู่เสมอ
อ๋องเจ็ดฉินมู่เหยียนผู้ปกครองเมืองเฉิงโจวอาณาเขตที่ติดกับแคว้นเจา สหายในวัยเด็กของบิดาและมารดาของนาง เมืองเฉิงโจวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้นฉิน ถึงแม้จะค่อนข้างแห้งแล้งไปสักหน่อยเพราะบางส่วนของอาณาเขตติดกับทุ่งหญ้าของชนเผ่า แต่ที่นั่นนับว่ามีอิสรเสรีสำหรับผู้ที่ไม่ชอบในกฎเกณฑ์ขนบธรรมเนียมและประเพณีอันคร่ำครึของเมืองหลวง ชาวเมืองเฉิงโจวต่างก็เรียกอ๋องเจ็ดว่าเฉิงอ๋อง ตามชื่ออาณาเขตที่เขาได้รับ
เฉิงอ๋องหลังจากที่ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของแม่ทัพหยวนหมิง เขาก็ให้คนส่งสารขออนุญาตเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที ส่วนตนเองก็รีบขี่ม้าออกมาก่อนโดยที่ไม่รอพระราชโองการพระราชทานอนุญาตตอบกลับจากฮ่องเต้
เมื่อเฉิงอ๋องเดินทางมาถึงจวนตระกูลหยวน งานศพของสหายรักก็เสร็จสิ้นไปเสียแล้ว เขาซื้อสุราไปสองไหนั่งอยู่หน้าป้ายหลุมศพของแม่ทัพหยวนหมิง ปากก็พร่ำบ่นถึงเรื่องสมัยเด็กไม่หยุด
หยวนชิงหลิงที่พาครอบครัวมาไหว้หลุมศพของบิดและบรรพบุรุษตระกูลหยวนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทางไปยังแคว้นเซี่ย ได้พบเฉิงอ๋องเข้าโดยบังเอิญ นางยังคงจดจำเขาได้เพราะเคยพบเมื่อครั้งตอนที่นางยังเด็ก
เขาดูมีอายุขึ้นเล็กน้อยแต่ความห้าวหาญดั่งชายชาตรีนั้นยังคงเหมือนเดิม และดูเหมือนเขาจะดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเสียด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะที่เขตแดนเมืองเฉิงโจวเป็นทุ่งหญ้าทำให้สีผิวที่เคยขาวกระจ่างตอนนี้กลายเป็นสีข้าวสาลีไปเสียแล้ว
“คารวะเฉิงอ๋องเพคะ”
อ๋องเจ็ดที่นั่งเมาอยู่หน้าป้ายหลุมศพแม่ทัพหยวนหมิงเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เอ่ยทักทายตน เมื่อเขาเห็นใบหน้าของนางชัดๆ ชายหนุ่มถึงกับตกใจจนแทบสร่างเมา ที่สตรีที่เขาหลงรักมาทั้งชีวิตยืนอยู่ตรงหน้า เขาขยี้ตาตนเองซ้ำหลายครั้งเพราะคิดว่าตนอาจจะดื่มจะเมาและตาฝาดไป
“เหยาเอ๋อ”
อ๋องเจ็ดเอ่ยขึ้นเบาๆ เป็นไปได้อย่างไร เขารู้สึกเหมือนว่าตนได้พบกับสตรีที่แอบรักเมื่อสิบกว่าปีก่อนอีกครั้ง นางคือสาเหตุที่ทำให้เขายังไม่ยอมแต่งงานมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพราะต้องการหนีจากหัวใจตนเองอ๋องเจ็ดจึงขอไปอยู่ในที่ที่ห่างไกล
ฮ่องเต้จึงพระราชทานอาณาเขตที่ติดกับทุ่งหญ้าให้เขาปกครอง หยวนชิงหลิงได้ยินเขาอุทานเช่นนั้น นางก็ยกยิ้มบางๆ ก่อนที่จะส่ายหน้า
“หม่อมฉันคือหยวนชิงหลิงเพคะ ท่านแม่อยู่ด้านหลัง”
หยวนชิงหลิงหลีกทางให้อ๋องเจ็ดได้พบกับมารดาของตน เรื่องที่อ๋องเจ็ดแอบรักท่านแม่ของนางจนไม่ยอมแต่งงาน นางเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงเรื่องนี้เมื่อครั้งที่ดื่มสุราจนเมามาย ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาก็ยังคงไม่เคยเปลี่ยนใจไปจากท่านแม่ของนางสินะ
คนตระกูลฉินบางทีอาจจะมีแค่ท่านกระมังที่ยังสามารถเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้ เดิมทีหยวนชิงหลิงไม่อยากที่จะใช้เขาเป็นหมาก แต่ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากเขา ผู้ที่สามารถคุ้มครองท่านแม่ท่านย่าและน้องชายของนางให้ปลอดภัยได้ก็คงมีแค่เพียงอ๋องเจ็ดผู้นี้เท่านั้น
นางต้องยอมเสี่ยงใช้ความรู้สึกของอ๋องเจ็ดที่มีต่อมารดาของนางให้เป็นประโยชน์ เพราะก่อนที่จะออกเดินทางไปแคว้นเซี่ยนางจะต้องส่งพวกเขาไปที่อาณาเขตของเขาให้ได้เสียก่อน นางถึงจะวางใจ