ตอนที่2 ต้องเสียใจที่พูดแบบนี้
ชีวิตนักศึกษาปีสองค่อนข้างเหนื่อยไม่แพ้กับตอนปีหนึ่ง กิจกรรมก็ต้องเข้าเพื่อดูแลรุ่นน้อง หน่วยกิจก็ต้องพยายามเก็บให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่หนักตอนสองปีสุดท้าย ใครว่าเรียนสบายสุดมันไม่เสมอไปหรอก มีดีแค่ปิดเทอม
“โอ้ย! พึ่งเปิดเทอมไม่กี่วันทำไมเหมือนร่างยิ่งพัง” นารีบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะหินอ่อนในลานหลังตึกคณะ
“นับวันฉันนึกว่าทำสงครามแล้วเนี่ย!” ตามด้วยมีนาที่ท่าทางเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว
“พวกแกไม่เคยออกกำลังก็แบบนี้ เหนื่อยง่าย ระวังไขมันจุกอกนะ” ใบข้าวที่นั่งส่องกระจกด้วยท่าทีปกติเหมือนไม่ได้เรียนด้วยกันยู่หน้าพูดให้เพื่อน
“ขอลาตาย!” มีนาหันไปตอบแทบจะทันที เรียนก็เหนื่อยพอแล้ว ให้ไปออกกำลังกายไม่ตายของจริงเหรอ
“ไม่ออกไม่ว่า แต่เลิกชวนเข้าบุฟเฟต์ทุกวันได้ไหม!” เธอไม่ได้เคร่งครัดเรื่องกิน ไม่ได้หักโหมเรื่องออกกำลังกาย แต่ก็ไม่ไหวที่จะกินแต่บุฟเฟต์ชาบูอย่างที่พวกมันชอบ มันหนักเกินไป!
“ผักทั้งนั้นเพื่อนรัก” นารีเงยหน้าขึ้นบอกให้เพื่อนเข้าใจ
ใครว่าบุฟเฟต์ชาบูอ้วน ผักทั้งนั้น โปรตีนเน้น ๆ
“จ้ะ” หมดคำจะพูดกับเพื่อนจริง ๆ
“แกจะรักษาหุ่นไปถึงไหน แค่นี้ก็เซี๊ยะน่าเจี๊ยะจนผู้ชายกำเดาไหลแล้ว” มีนาถามเพื่อนที่เปลี่ยนจากเด็กมัธยมเรียบ ๆ จนไม่เหลือคราบ
คนที่ปกติมีหน้าอกหน้าใจแม่ให้มาเยอะอยู่แล้ว แต่พอยิ่งออกกำลังกายจนเอวคอดเล็กเหลือยี่สิบนิ้วได้มั้ง ไหนจะสะโพกกลม ๆ แน่น ๆ มันดูดีและน่ามองแม้แต่ผู้หญิงอย่างเธอยังอิจฉา
“ไม่ใช่แกฝังใจเพราะพี่ฉันหรอกนะ” นารีถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง เคยถามไปแล้วหลายครั้งโดยเฉพาะช่วงแรก ๆ ตั้งแต่เพื่อนหันมาออกกำลังกายจนเป็นกิจวัตร เลยอดสงสัยและรู้สึกเห็นใจไม่ได้
“ก็บอกว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเป็นชาติแล้ว” พูดด้วยความสัตย์จริงจากใจ “แรก ๆ อ่ะทำเพราะไม่อยากฟุ้งซ่าน แต่พอได้ทำแล้วมันดีกว่าที่คิด ไม่เชื่อพวกแกก็ไปกับฉันสิ”
ตอนแรกทำเพราะอกหัก อยากหันมาดูแลตัวเองให้สวยจนคนที่เคยสบประมาทต้องเสียใจที่พูดแบบนั้นกับเธอ แต่พอได้ทำไปแล้วมันสนุกและทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า แม้จะเหนื่อยตอนใช้แรง แต่การใช้ชีวิตกลับคล่องตัวเลยหันมาทำจนชิน
แต่ก็อย่างที่บอก ไม่ได้เคร่งอะไร แค่อย่างน้อยอาทิตย์ละสองถึงสามวัน วันละครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงแค่นั้น
“เออ วันจันทร์พวกพี่เขามาเรียนแล้วนี่” มีนาพูดขึ้นเมื่อพูดถึงรุ่นพี่ปีสี่ที่ฝึกงานช่วงปิดภาคเรียน และกำลังจะกลับมาเรียนหลังเปิดภาคเรียนหนึ่งสัปดาห์ในสัปดาห์หน้า
“นั่นสิ ถ้าพี่ชายฉันได้เห็นเพื่อนของฉันจะกล้าเมินอีกไหมนะ” นารีอดหมั่นไส้พี่ชายตัวเองไม่ได้ที่ว่าให้เพื่อนสาวในอดีต ตอนนั้นจำได้ว่าเพื่อนเธอร้องไห้จนตาบวม แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยพูดหรือถามถึงบุรินอีกเลย
“เมินก็เมิน ไม่เมินก็ไม่มีอะไรอยู่ดี” เธอตอบกลับไปด้วยท่าทีปกติ เหมือนคนไม่เคยรู้สึกอะไรกับอีกฝ่ายมาก่อน
เรียกว่าตั้งแต่วันนั้นมาเธอก็มูฟออนจากบุรินอย่างยากลำบาก แต่ก็พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อหลุดจากความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อเขา เมื่อเห็นเขาไกล ๆ ก็จะเลี่ยงไม่เผชิญหน้า ไม่ไปบ้านของบุรินที่นารีอาศัยอยู่อีกเลย
แต่ทุกอย่างมันก็ยากแค่ตอนแรก ๆ เพราะหลังจากผ่านไปประมาณสี่ห้าเดือน การเรียนและกิจกรรมที่มากมายบวกกับการไม่ได้เจอหน้า มันทำให้เธอค่อย ๆ หลงลืมความรู้สึกเสียใจ ค่อย ๆ ปล่อยผ่านความรักและความหลงใหลที่มีต่อเขา
แน่นอนว่าตอนนี้ผ่านมาหนึ่งปีแล้วหลังจากเธอสารภาพรักกับบุริน และเธอก็ทำใจได้ ทำได้ชนิดที่ว่าเปิดโอกาสให้ตัวเองและเปิดใจคุยกับพี่รหัสตัวเองอยู่
“อ๋อ ฉันก็ลืมไปว่าพี่ซันเขาน่าร้ากก~” นารีเย้าแหย่เพื่อนสนิทออกมาอย่างยินดีที่ไม่ผิดหวังกับรักครั้งแรกของตัวเองจนกลัวการเปิดใจ
“ฮิ้วว!!” มีนารับมุกอีกคนอย่างขบขัน
“ฉันไม่พูดกับพวกแกแล้ว!” เก็บของเข้ากระเป๋าอย่างเง้างอน ลุกเดินหนีเพื่อนสนิททั้งสองไปอีกคณะที่มีเพื่อนสนิทอีกคนเรียนอยู่ทันที