Chapter 2 : เด็กฝรั่งขี้นก
ชีวิตวุ่นๆ ของเด็กชายเจย์เดนก็เริ่มขึ้น เมื่อผมไปโรงเรียนโดยเข้ากลางเทอมของชั้นอนุบาล ด้วยความที่ผมเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก แก้มยุ้ย ผิวขาว และผมสีน้ำตาลอ่อน มันเลยทำให้ผมดูแปลกตาไปกว่าคนอื่น ใช่แล้วครับผมกลายเป็นเป้าสายตาของคนเกือบทั้งโรงเรียน ทั้งเพื่อนร่วมชั้นเรียน คุณครู รวมถึงพวกรุ่นพี่ที่จะชอบเข้ามาจับแก้มผม ดึงแก้มผมด้วยความเอ็นดู จนแก้มผมจะย้วยหมดแล้วนี่ แต่มันก็มีนะเพื่อนนักเรียนบางคนที่ชอบมาล้อผม มาแกล้งผม ผมละไม่ชอบเลย เนี่ยผมโดนอีกแล้ว
“ว้าย เจ้าเด็กฝรั่งขี้นก เด็กฝรั่งขี้นก”
“ฝรั่งขี้นกคืออะไรเหยอ”
“ฝรั่งขี้นกก็คือเจย์เดนไง ฮ่าฮ่าฮ่า”
ผมโดนเพื่อนๆ ล้อว่าเป็นฝรั่งขี้นก ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มีคำว่าขี้นกมันต้องเหม็นแน่เลย พวกเขารังเกียจผมหรือ เขาหาว่าผมตัวเหม็นเหมือนขี้ใช่ไหม แค่คิดแค่นี้ หัวใจดวงน้อยของเจย์เดนก็รับไม่ไหวแล้ว น้ำตาแห่งความเสียใจร่วงหยดเผะเผะ
“แง ... ฮือ ฮือ มาว่าเจย์เดนทำไม มาว่าเจย์เดนเป็นฝรั่งขี้นกทำไม ฮือ”
“เจ้าตัวประหลาดหัวทองแบร่”
เพื่อนกลุ่มนี้ยังล้อผมไม่หยุด ทั้งล้อ ทั้งแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผม มีบางคนว่าผมเป็นตัวประหลาดหัวทองด้วย ผมเสียใจจัง และยิ่งผมร้องไห้ ทุกคนก็ยิ่งได้ใจล้อผมไม่หยุด และแล้วก็มีนางฟ้าคนสวยมาช่วยผมไว้
“น้องเจย์เดนร้องไห้ทำไมครับ ใครแกล้งน้องเจย์เดนบอกพี่แป้งมา”
พี่แป้งคนสวยของผมวิ่งมากอดผม ผมโผเข้ากอดพี่แป้งตอบ พี่แป้งลูบหลังปลอบโยนผมอย่างใจดี ผมรู้สึกอบอุ่นจังเลย
“ฮือ... เจย์เดนตัวเหม็นเหมือนขี้ เจย์เดนเป็นฝรั่งขี้นก ฮือ”
“เจย์เดนทำไมน้องพูดแบบนี้ละคะ”
“เพื่อนๆ บอกว่าเจย์เดนเป็นฝรั่งขี้นก เจย์เดนเป็นตัวประหลาดหัวทอง ฮือ ฮือ พี่แป้งน้องเจย์เดนตัวเหม็นหรือเปล่า”
“ไม่ครับ น้องเจย์เดนตัวไม่เหม็น ไหน คนไหนว่าน้องเจย์เดนครับ บอกพี่แป้งมาเลยค่ะคนเก่ง”
ผมขยี้ตาแล้วใช้มือกลมปุ๊กลุกชี้ไปยังคนกลุ่มนั้น พี่แป้งมองตามแล้วยืนขึ้นเดินไปหาเด็กเกเรกลุ่มนั้น
“อ้อ.. เด็กนิสัยไม่ดีพวกนี้นี่เอง ว่าไงน้องหูกาง ผอมเป็นขี้ก้างแบบนี้ท่าทางที่บ้านน่าจะอดอยากไม่มีอะไรกินใช่ไหมคะ ทำไมถึงทำตัวไม่น่ารักเลย มาว่าเพื่อนแบบนี้ได้อย่างไรละคะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นายหูกางผอมเป็นขี้ก้างจริงด้วย”
พวกเพื่อนของเด็กที่เป็นหัวโจกที่ว่าผมพากันหัวเราะ และพูดล้อเลียนตามจนเด็กคนนั้นเอามือปิดหูตัวเองไว้ แล้วตะโกนต่อว่า
“ผมไม่ได้หูกาง พี่มาว่าผมทำไม พวกนายหยุดพูดเลยทุกคน บอกให้หยุดไง”
“อ้าวพี่ก็พูดความจริงไงคะ ก็หูของน้องกางจริงๆ ดูสิหูกางเหมือนดัมโบ้ช้างบินเลย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นายเป็นดัมโบ้ช้างบิน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
พี่แป้งขยี้เข้าไปอีก เพื่อนๆ ของเจ้าเด็กหัวโจกก็หัวเราะขำกันตัวหงิกตัวงอ ส่วนนายหัวโจกพอได้ยินว่าหูตัวเองใหญ่เท่าดัมโบ้ช้างบินเท่านั้นแหละ น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาเหมือนน้ำประปาที่เปิดก๊อกไหลมานองหน้าเลย สำหรับใครไม่รู้จักดัมโบ้ช้างบินลองค้นหาในอากู๋กูเกิ้ลเอานะ แล้วจะรู้ว่าหูของดัมโบ้ใหญ่มากแค่ไหน แล้วถ้าหูเราใหญ่เหมือนดัมโบ้ก็คงจะสะเทือนใจน่าดู
“ฮือ .. ไม่ ผมไม่เป็นดัมโบ้ช้างบินนะ ฮือ”
พี่แป้งเดินเข้าไปกอดเด็กคนนั้นแล้วเริ่มปลอบโยน
“เป็นอย่างไรบ้างครับ พอโดนล้อแล้วเสียใจไหมครับ”
เด็กคนนั้นพยักหน้า
“พี่แป้งขอโทษน้องนะครับ พี่แป้งจะไม่ล้อน้องอีกแล้ว และน้องก็อย่าไปล้อเลียนคนอื่นๆ นะครับ เพราะเพื่อนคนที่เขาโดนเราล้อก็จะเสียใจเหมือนที่น้องเสียใจเหมือนกับที่น้องเสียใจในตอนนี้”
“ครับผมจะไม่ล้อใครแล้ว เดี๋ยวเขาเสียใจ”
“เก่งมาก น่ารักที่สุด ดูสิเมื่อกี้นี้เจย์เดนร้องไห้เสียใจมากเลย ทำอย่างไรดีนะ”
เด็กคนนั้นหันหน้ามาทางผม
“เจย์เดนเราขอโทษ เราจะไม่ล้อนายอีกแล้ว”
ผมก็พยักหน้ารับ แต่ผมเริ่มไม่ชอบใจอีกแล้ว ก็พี่แป้งกอดเจ้านี่นานไปแล้ว ผมเดินไปหาพี่แป้ง เอาตัวไปเบียดเจ้าเพื่อนปากเสียคนนั้นแล้วกอดพี่แป้งบ้าง พี่แป้งเป็นของผม คนอื่นห้ามมากอด พี่แป้งยิ้ม แล้วกอดทั้งผมและเด็กนั้นพร้อมกัน
“ทุกคนเข้าใจกันดีแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปเราจะไม่ทำให้เพื่อนเสียใจนะครับ มาจับมือกัน”
พี่แป้งจับมือผมมาจับมือเจ้าหมอนั่นเป็นการสงบศึก เราสองคนก็พยักหน้าพร้อมกัน
“พี่แป้งครับ น้องเจย์เดนหิว น้องเจย์เดนอยากกินหนม”
ผมรีบอ้อนพี่แป้ง ไม่อยากให้พี่แป้งไปกอดและพูดคุยกับเจ้าหมอนั่นนาน
“ไปพี่แป้งพาไปกินขนมนะคะ”
แล้วพี่แป้งก็จูงมือผมไปซื้อขนมกิน เป็นไงครับนางฟ้าของผมเป็นคนดี เป็นคนน่ารักที่สุดเลยใช่ไหมครับ นี่แหละ ทำให้ผมยิ่งรัก ตกหลุมรักพี่แป้งมาตั้งแต่เด็ก รักแบบ รักมาก รักพี่แป้งคนเดียว รักแบบไม่แบ่งใคร และก็หวงพี่แป้งมากด้วย
และยังมีอีกหนึ่งเหตุการณ์หนึ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟัง วันนั้นเป็นวันแข่งกีฬาสีของเด็กอนุบาล ผมได้เป็นนักกีฬาของห้องด้วยนะครับ ทายสิว่าผมลงแข่งอะไร ติ๊กตอก ติ๊กตอก ผมลงแข่งวิ่งครับ ใช่แล้วผมเป็นนักวิ่ง ถึงผมจะตัวเล็ก แต่ผมก็ขยันซอยนะครับ ผมซอยเก่งมาก ซอยเก่งมาตั้งแต่เด็กเลย ฮ่า ฮ่า