ทฤษฎีร้าย บทที่ 1 : ของขวัญชิ้นพิเศษ
ณ บ้านไม้สักทองเก่าแก่ประจำตระกูลนุภาสากรณ์
“อลิสมาช้าเหมือนเคยเลยนะ วันนี้ก็วันเกิดโตอีกขึ้นปีแล้วต้องปรับปรุงเรื่องเวลานะจ๊ะ คนอื่นเขาจะติติงเอาว่าบ้านเราไม่สอนมารยาท” เสียงหญิงวัยกลางคนเอ่ยทักทายหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลนุภาสากรณ์
อลิส นางแบบสาวเบอร์ต้นของประเทศไทย เจ้าของคะแนนโหวตสูงสุดของผู้หญิงที่มีรูปร่างที่ดีสุดประจำปีนี้ เรือนผมสีบลอนด์สวยสะดุดตา แตกต่างจากทุกคนในบรรดาญาติทั้งหมด ใบหน้าสวยคมแบบฉบับสาวลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ดวงตาเฉี่ยวคมปาดมองใบหน้าญาติผู้ใหญ่ที่เป็นคนเอ่ยทักทาย
“ขอโทษด้วยนะคะที่อลิสเป็นคนมีการมีงานทำเลยมาช้า ทำให้ทุกคนต้องรอ ให้ทำยังไงได้ล่ะคะก็อลิสไม่อยากนั่งแบมือเกาะกินเงินกงสีแบบป้านี่ ถ้าทำแบบนั้นอลิสมาถึงก่อนป้าอีกค่ะ” เสียงหวานตอบกลับญาติผู้ใหญ่พร้อมรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสวย
“ฉันเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอนะอลิส” ไม่เคยมีครั้งไหนที่การรวมญาติฉันจะไม่ถูกพูดด้วยถ้อยคำอะไรแบบนี้
“ทราบดีค่ะ ถึงอลิสจะไม่อยากนับถือสักเท่าไรก็ตาม” พูดจบก็ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มหวานแล้วปาดสายตามองบรรดาลูกสะใภ้คุณปู่แล้วเดินผ่านไปนั่งลงยังโซฟาตัวที่ว่างอยู่
“อย่าด่าคนอื่นด้วยรอยยิ้มแบบนั้นสิ มันเจ็บมากนะ” เสียงทุ้มเอ่ยพูดข้างหู พี่กร ลูกพี่ลูกน้องเอียงใบหน้ามากระซิบกระซาบหลังจากที่ฉันนั่งลง
“เขาไม่เจ็บหรอกพี่กร โดนมากี่ครั้งแล้วล่ะ พวกผู้ใหญ่ที่มีดีแค่ปีเกิด” ถึงปากจะพูดกับพี่กร แต่ก็ยังส่งยิ้มหวานให้แก่พวกญาติที่หันมามอง คำพูดกับสีหน้าที่แสดงออกช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ยังไม่เลิกยิ้มอีก ช่วยทำตัวให้สมกับที่เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของบ้านเราหน่อย” พี่กรได้แต่ส่ายหัวให้กับฉันด้วยความเหนื่อยใจ
ตระกูล ‘นุภาสากรณ์’ นามสกุลเก่าแก่ที่ต้นตระกูลคือเจ้าพระยาสมัยหลายร้อยปี แล้วยังทรงอิทธิพลลำดับต้น ๆ ของประเทศจนมาถึงรุ่นปัจจุบัน นักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการยศใหญ่โตมากมายคือคนของตระกูลเรา แล้วฉันก็ยังเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวภายใต้ตระกูลเก่าแก่ที่มีเครือญาติราวเกือบ 100 คน และอีกอย่างยังเป็นหลานที่เกิดจากหญิงชาวเยอรมัน
ตระกูลเก่าแก่ผู้ยึดหลักความคิดไม่ยอมรับคู่สมรสต่างชาติ ก็ไม่ได้ให้การยอมรับแม่ของฉันนัก มีเพียงคุณปู่และคุณพ่อของพี่กรเท่านั้นที่ใจดีกับแม่เสมอมา จนกระทั่งวันที่พ่อจากไปทำให้แม่ทนรับแรงกดดันต่อไปไม่ไหวจึงเลือกที่จะพาฉันกลับไปอยู่เยอรมัน
แต่คุณปู่ท่านไม่ยอม และนั่นก็เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ทั้งสองทะเลาะกันใหญ่โต แม่ถูกตัดสิทธิ์การเลี้ยงดูตลอดหลายปี จนกระทั่งแม่ของฉันจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อปีก่อน และตามมาด้วยคุณปู่ที่พึ่งจากฉันไปช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเช่นกัน
“สวัสดีครับคุณหนูอลิส สุขสันต์วันเกิดอายุครบยี่สิบเจ็ดปีนะครับ” คุณลุงทนายประจำตระกูลกล่าวทักทายพร้อมกับอวยพรวันเกิด ใช่วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบ 27 ปี ของฉันเอง
“ขอบคุณค่ะคุณลุงทนาย” ริมฝีปากบางยกยิ้มหวานส่งให้คุณลุงทนาย ถึงไม่มีคุณปู่แล้ว ก็ยังมีคุณลุงทนายกับพี่กรนี่แหละที่ใจดีกับฉัน
“เราเสียเวลากันมานานมากแล้วค่ะ เปิดพินัยกรรมคุณพ่อได้หรือยัง” คุณป้าใหญ่ ภรรยาลูกชายคนโตของคุณลุงพูดพร้อมกับปาดสายตามองมาที่ฉัน
“ใจเย็นสิครับ ให้คุณหนูอลิสได้พักหายใจสักหน่อย เธอพึ่งกลับมาจากการทำงานนะครับ” ลุงทนายพูดจบก็หันมาส่งยิ้มให้ฉัน
ตั้งแต่คุณปู่จากไปคนพวกนี้ก็ต่างรบเร้าให้ลุงทนายรีบเปิดพินัยกรรม แต่ข้อกำหนดที่คุณปู่สร้างขึ้นดันมาผูกไว้กับฉัน นั่นก็คือ
‘พินัยกรรมจะถูกเปิดก็ต่อเมื่อฉันได้ตายไปแล้ว และต้องเปิดในวันเกิดของอลิสหลานสาวเพียงคนเดียวของฉันเท่านั้น’
จดหมายที่ถูกเขียนด้วยลายมือของคุณปู่ที่ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง ก็ได้แต่เอามาพูดลับหลังคนตายแบบนี้
“ทำไมต้องเอาเวลาร่วมสองเดือนมาเสียไปกับอลิสเพียงคนเดียวด้วย การเคลียร์อะไรหลายอย่างหลังจากพินัยกรรมถูกเปิดต้องใช้เวลานะคะ เปิดตั้งแต่ที่คุณพ่อเสียไปก็จบแล้ว เสียเวลา” ภรรยาของลูกชายคนที่ 4 พูดขึ้นทำให้หลายคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“คุณปู่พึ่งเสียไปได้แค่สองเดือน ทุกคนดูจะเป็นห่วงเรื่องพินัยกรรมมากกว่าการทำบุญร้อยวันซะอีกนะคะ” ขาเรียวยกไขว่ห้าง ดวงตาคมจ้องมองไปยังกลุ่มคนตรงหน้า
“อลิสคงไม่เข้าใจสินะ เพราะเป็นแค่หลานแล้วก็ตัวคนเดียว ไม่มีลูกที่ต้องมาจัดแจงแบ่งสมบัติให้เท่ากันเหมือนป้า เพราะทั้งพ่อทั้งแม่ก็ตายหมดแล้ว สมบัติในส่วนนั้นของอลิสก็ไม่ต้องแบ่งให้ใคร” ป้าใหญ่ภรรยาลูกชายคนที่หนึ่งของปู่พูดขึ้น
“จัดแจงให้ลูก หรือจัดแจงเอาไปขายคะ ดูจะรีบร้อนกันจังที่บอกต้องใช้เวลานี่คือต้องไปทำประกาศขายน่ะเหรอ เก็บไว้ดูสักเดือนก็ได้มั้ง เอาไว้ระลึกหน้าคุณปู่” ถึงจะเป็นหลาน แต่ฉันก็ไม่เคยอ่อนให้คนพวกนี้ พ่อของพี่กรเคยพูดว่าฉันนิสัยไม่ได้แม่เลย แต่กลับได้คุณปู่มาหมด แม้กระทั่งรอยยิ้มที่ถูกเปรียบให้เป็น น้ำผึ้งที่ขมเหมือนยาพิษ
“อลิส!” คุณป้าใหญ่จ้องมองด้วยสายตาดุ ซึ่งคนอย่างฉันที่ไม่เคยกลัวอะไรก็ยักไหล่ใส่เธอแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟา
“เอาละครับหยุดเถียงกันได้กันก่อน ผมจะเปิดพินัยกรรมแล้วนะครับ เราเสียเวลากันไปมากแล้วเดี๋ยวคุณอลิสจะไม่มีเวลาได้เตรียมตัว” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแล้วหันมองไปทางลุงทนาย เมื่อกี้ฉันได้ยินไม่ผิดใช่มั้ยเตรียมตัวอะไร
“เมื่อกี้ลุง” ฉันเด้งตัวจากท่าพิงแล้วถามลุงทนายด้วยความสงสัย แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้
“อลิสอย่าพึ่งถามอะไรฟังก่อน” พี่กรที่นั่งอยู่ข้างกันจับแขนเอาไว้เพื่อให้รอฟังที่คุณลุงทนายกำลังจะพูดต่อจากนี้
ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกแกะออกแล้วดึงเอาเอกสารภายในนั้นที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับพินัยกรรมทั้งหมดของคุณปู่ออกมา และเริ่มแจงสมบัติทั้งหมด คุณปู่มีลูก 10 คน และเป็นผู้ชายทั้งหมด แต่พ่อของฉันกับพ่อของพี่กรเสียไปแล้ว ในส่วนนั้นจึงเป็นเราทั้งคู่ที่จะถูกระบุชื่อลงในพินัยกรรมแทน
“ทรัพย์สินของคุณธานินทร์ นุภาสากรณ์มีจำนวนทั้งสิ้นดังต่อไปนี้ เงินสดจำนวนสี่หมื่นล้านบาทถ้วน ซึ่งในเศษส่วนต่างจำนวนสิบห้าล้านบาทคุณธานินทร์ได้นำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลชนบทด้วยตัวเองก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต เงินสดทั้งหมดจะถูกจัดแบ่งให้แก่ทายาทให้อัตราส่วนที่เท่ากันทั้งสิบคน ซึ่งลูกชายที่เสียชีวิตไปแล้วสองคนจะยกให้ทายาททางสายเลือดเป็นผู้ดูแลในส่วนของคุณพ่อของทั้งสอง โดยห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
พูดจบคุณลุงทนายก็หันมาส่งยิ้มให้ฉันกับพี่กร แต่สายตาของญาติผู้ใหญ่บางคนอาจจะไม่พอใจเท่าไรนัก เพราะคุณปู่ดันรู้ทันระบุทุกอย่างเอาไว้ชัดเจนแล้ว
“ต่อเลยครับ” หนึ่งในลูกชายคุณปู่เร่งให้ลุงทนายพูดต่อไป
“ที่ดินในแต่ละจังหวัดคุณธานินทร์แบ่งด้วยตัวของท่านเองไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งผมจะนำเอกสารส่วนนั้นเอามาให้ทุกคนดูภายหลังจากข้อตกลงสำเร็จไปได้ด้วยดี”
“หมายความว่ายังไง” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยความสงสัย
“ขอให้ฟังให้จบแล้วทุกคนจะรู้เอง หุ้นส่วนบริษัท โรงแรม และธุรกิจในเครือของนุภาสากรณ์จัดแบ่งในสัดส่วนที่เท่ากัน” คุณปู่กันการทะเลาะกันสินะถึงทำทุกอย่างให้มันเท่ากันไปเลยก็จบ
“เท่ากันทั้งหมดเลยเหรอ” หนึ่งในสะใภ้พูดขึ้น ฉันว่าแล้วว่าคนพวกนี้ต้องติดใจ
“ใช่ครับ คุณท่านป้องกันปัญหาระหว่างทุกคนเอาไว้แล้ว และนี่ก็ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ดีที่สุด แต่...” คุณลุงทนายหยุดพูดแล้วหันมามองที่ฉันก่อน
“....” อะไรอีกล่ะทีนี้
“แต่อะไรคะ ยังมีเรื่องเกี่ยวกับอลิสอีกเหรอ แค่นี้ก็วุ่นวายมากพอแล้วนะ คุณพ่อทำอะไรให้มันยุ่งยาก” เสียงบ่นพึมพำของพวกญาติทำให้ฉันต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อระงับอารมณ์ตัวเอง
“เฮ้อ...” เมื่อไหร่เรื่องพวกนี้จะจบสักที แบ่งให้พอใจคนพวกนั้นซะจะได้เลิกมาวุ่นวายกับฉัน
“เกี่ยวโดยตรงครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่แจงมาข้างต้นพวกคุณจะได้รับไม่ได้รับก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณหนูอลิส” ทุกสายตาจ้องมองไปที่คุณลุงทนาย รวมไปถึงฉันด้วย
“หมายความว่าไงคะ” ฉันถามออกไปด้วยความสงสัย สังหรณ์ใจไม่ดีเลยนะแบบนี้
“จดหมายฉบับเป็นลายมือของคุณธานินทร์ซึ่งมีพระนามของบุคคลสำคัญลงประทับเอาไว้อยู่ด้วย...คุณธานินทร์ระบุเอาไว้ว่า เมื่อหลานสาวเพียงคนเดียวของฉันอายุครบ 27 ปี สัญญาการหมั้นหมายระหว่างหลานสาวของตระกูลนุภาสากรณ์กับรัชทายาทของราชวงศ์จักรวรรดิจะเริ่มต้นขึ้นทันที”
“ขอปฏิเสธค่ะ” ฉันพูดออกไปทันทีแม้จะยังฟังไม่จบ
“ยังไม่จบครับ...สมบัติที่ทายาทของฉันจะได้รับก็ต่อเมื่อมีพิธีสมรสระหว่างหลานทั้งสองเกิดขึ้น ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิเสธ สมบัติทุกชิ้นของฉันจะถูกนำไปบริจาคให้แก่โรงพยาบาลทั่วประเทศ และมูลนิธิต่าง ๆ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดได้ถือครอง”
“....!!” ตอนนี้ทุกคนอ้าปากค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“อลิสไม่เล่นนะคะคุณลุงทนาย” มันเป็นเรื่องล้อกันเล่นใช่มั้ย
“เรื่องแบบนี้ไม่มีใครล้อเล่น คุณหนูถูกวางตัวหมั้นเอาไว้ตั้งแต่เกิดมาแล้วนะครับ หลานสาวเพียงคนเดียวของคุณธานินทร์” คุณลุงทนายพูดพร้อมกับยื่นเอกสารในมือมาให้ดูเพื่อเป็นการยืนยัน
ฉันรับมันมาถือไว้แล้วไล่สายตาอ่านละบรรทัด ลายมือของคุณปู่ที่เขียนด้วยปากกา ทุกตัวอักษรที่ท่านบรรจงเขียนลงไป พร้อมกับลายเซ็นคุณปู่ ข้างกันเป็นตราประทับสัญลักษณ์ที่ฉันไม่เคยเห็น
“เรื่องอะไรกันเนี่ย!”
“อะไรอีก ทำไมมันต้องวุ่นวายกับเด็กนี่คนเดียวด้วย!”
“อะไรก็อลิส อลิส เด็กนี่มันมีอะไรดีนักหนาวะ!”
เสียงโวยวายจากบรรดาญาติดังขึ้น จนพี่กรกับลุงทนายต้องช่วยลุกห้ามปราม ส่วนฉันน่ะเหรอจ้องมองกระดาษในมืออย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เรื่องบ้าบออะไรเนี่ย!
“ทุกคนใจเย็นก่อน ในเมื่อคุณปู่แจงเอาไว้แบบนี้ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่ที่อลิสนะครับ” พี่กรพยายามพูดให้ทุกคนใจเย็น แต่ดูมันจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก
“ฉันไม่สนเว้ย! เอาในส่วนของฉันมาเดี๋ยวนี้ แม่งมันก็แค่การหาผัวให้หลานสาวที่ไม่มีใครเอาไง!” ตระกูลผู้ดีเก่าที่มีแต่พวกปากแบบนี้
“นั่นสิ เป็นการหาผัวให้หลานสาวคนนี้นี่เอง คุณลุงทนายคะถ้าอลิสไม่หมั้นจะเกิดอะไรขึ้น” ฉันพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วกวาดสายตามองทุกคน รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปตอนนี้เหลือเพียงดวงตาแข็งกร้าวที่จ้องมองไปทางทุกคน พวกเขาเริ่มสงบลงเมื่อฉันโมโห ต้องให้เป็นแบบนี้ถึงจะเกรงใจกันเหรอ
“จะไม่มีใครได้รับสมบัติของคุณธานินทร์แม้แต่บาทเดียว” สิ้นเสียงของคุณลุงทนาย ฉันก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นส่งยิ้มให้บรรดาญาติตัวเอง แต่ทุกคนกลับมองฉันด้วยสายตาโกรธจัดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะคุณปู่วางให้ฉันเดินหมากเกมนี้เอง
“อย่าทำให้อลิสไม่พอใจจนกว่าจะตัดสินใจได้ เพราะไม่งั้น...พวกเราทุกคนจะต้องได้ทำบุญใหญ่ร่วมกันแน่ ๆ เลยนะคะ” รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้า ท่ามกลางสายตาตกใจค้างของทุกคน พวกเขาเห็นเงินมากกว่าชีวิตฉันที่เป็นหลานซะอีก
พึ่บ! ฉันคว้ากระเป๋าถือตัวเองเดินผ่านทุกคนออกไปจากบ้านทันที ในมือกำกระดาษของคุณปู่ไว้แน่น แรงกดดันบ้าบอนี่กำลังทำให้ฉันใกล้จะระเบิด
“อลิส ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องหมั้น ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ถึงจะเป็น...เออนั่นแหละ” พี่กรเดินตามหลังมาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เพราะเขารู้ว่าในตอนนี้ฉันกำลังโมโหจัด
“พี่กร” ร่างบางหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองญาติตัวเอง ซึ่งคุณลุงทนายก็วิ่งเข้ามาหยุดยืนร่วมวงอีกคน
“.....” ทั้งสองตั้งใจฟังในสิ่งที่ฉันพูด
“มีวิธีสื่อสารกับคนตายมั้ย หรือปลุกคนตายขึ้นมาคุยก็ได้!” ของขวัญวันเกิดหรือไง จะพิเศษเกินไปแล้วนะปู่!