ตอนที่ 7 เพชรที่หายไปกับสายลม (2)
“เขาต้องมีเหตุผลสิ ถึงให้ไปแบบนั้น อันที่จริงคุณไกรก็คงวางแผนให้ลูกชายไปเรียนเมืองนอกอยู่แล้ว แต่ที่ต้องให้ไปเร็วกว่ากำหนดก็คงเพราะไม่อยากให้ลูกชายเสียคนมั้ง ตาเพชรน่ะอยู่ใกล้แม่เกินไปจนแทบจะกลายเป็นลูกแหงติดแม่อยู่แล้ว คุณไกรคงเกรงว่าลูกจะไปซึมซับนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นเจ้าอารมณ์จากแม่พราวมากระมัง ถึงได้ต้องรีบตัดไฟแต่หัวลมแบบนี้”
“แล้วคุณพราวเธอจะยอมหรือคะ ออกหวงลูกชายซะปานนั้น”
“ไม่ยอม! แต่ก็ขัดไม่ได้ ระวังแต่คนของเราเท่านั้น”
“แล้วนี่คุณทรายไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะคะ”
“ก็คงปฏิเสธไม่ได้หรอก ยิ่งแม่พราวน่ะ ลงปักใจเชื่อว่าเขาเป็นต้นเหตุ ทั้งบ้านก็คงต้องเห็นตามกันไปหมด”
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคะ คุณท่าน วันนี้แค่ตัวฟกช้ำดำเขียว วันหน้าจะไม่หนักกว่าหรือคะ เฮ้อ...คุณทรายจะทนไหวไปสักกี่น้ำกัน เฮ้อ...”
“อย่าห่วงเลย ฉันเชื่อนะว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่แค่เม็ดทรายที่จะยอมให้ใครเหยียบย่ำง่ายๆ หรอกนะ เขามีเลือดนักสู้อยู่พอตัวทีเดียวล่ะ” คนพูดเอ่ยอย่างเชื่อมั่น แม้ลึกลงไปแล้วคนพูดก็อดหวั่นไม่ได้เช่นกัน
หลังจากก่อเหตุ ‘ปิ่นโตลอยฟ้า’ ฟาดหน้าคนปากเปราะแล้ว บททดสอบความเป็นนักสู้ของศุภิสรายังคงดำเนินต่อไปอีกหลายยก หนักบ้างเบาบ้างตามแต่สถานการณ์และคู่กรณี หากถึงแม้ว่าจะมีการกระทบกระทั่งจนบางครั้งถึงกับเลือดตกยางออก แต่หนูน้อยก็ไม่เคยปริปากฟ้องใคร บางคราวถ้าเรื่องไปถึงหูคุณผู้หญิงก็จะเป็นคราวเคราะห์ให้ถูกทำโทษ เธอก็พยายามกัดฟันทนจนถึงที่สุด หลายคราที่แม่อบอดสงสารคนตัวเล็กที่มักมีเหตุให้เจ็บตัวบ่อยครั้งไม่ได้ จึงเสนอตัวไปรับปิ่นโตเสียเอง แต่เจ้าของหน้าที่ก็ปฏิเสธความช่วยเหลือนั้นเสียทุกครั้งจนอ่อนใจ แม่อบไม่มีวันรู้ เหตุผลที่เจ้าตัวน้อยหวงหน้าที่นักไม่ใช่เพราะอื่นใดนอกจาก... ข่าวคราว...ที่มักได้ยินคนบนตึกโจษจันกันต่างหาก
ยามค่ำหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ คนตัวเล็กมักแอบเร้นกายออกไปยืนมองทางระเบียงห้องบนชั้นสองของตึกใหญ่แทบทุกวัน ดวงตาละห้อยทอดมองแสงไฟที่เปิดสว่าง รอคอย... บางคราวก็สมหวัง ดวงหน้าหมองเศร้าชื่นขึ้นแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเจ้าของห้องนั้นเปิดประตูออกมาตากลมสูดอากาศ หรือไม่ก็ออกมายืนเหม่อมองพระจันทร์เงียบๆ ครุ่นคิด โดยไม่เคยรู้ว่ามีใครแอบมองมาจากมุมมืด สายตาของเขาไม่เคยชายมามองสิ่งที่อยู่ด้านล่างแม้เพียงครั้งเดียว หนทางระหว่างทั้งสองคนกำลังจะห่างออกไปคนละขอบฟ้าและมันคงจะกลายเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันเวียนมาบรรจบกันได้อีก
เช้าวันนั้น ศุภิสราเดินออกไปรอรถจะไปโรงเรียนเช่นเคย ขณะที่ผ่านหน้าตึกใหญ่ ร่างเล็กต้องรีบหยุดทันควัน เมื่อเห็นคนทั้งบ้านมายืนออหน้าประตูตึกใหญ่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ความสังหรณ์ใจทำให้หนูน้อยแอบเตร่เข้าไปยืนแอบมองใกล้ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปร่วมวง คนตัวเล็กเขย่งกายชะเง้อมอง จนกระทั่งได้เห็น...ศุภิสราใจหายวาบเมื่อมองเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่คนรถกำลังขนขึ้นไว้ท้ายรถ โดยมีประมุขของบ้านยืนมองคุมความเรียบร้อยด้วยตัวเอง ส่วนคุณพราวพิไลเฝ้าแต่กอดลูกชายไว้แนบอกร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ ร่างสูงของเด็กชายในชุดแปลกตา ดวงหน้าคมคายเรียบสนิท แม้นัยน์ตาจะแดงๆ แต่ไม่มีหยดน้ำตาให้เห็น แล้วจู่ๆ ดวงตาคู่นั้นก็เบนมาทางที่เธอยืนอยู่
ศุภิสราหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นร่างสูงผละจากมารดา เดินตรงดิ่งมาทางที่เธอยืนอยู่ ร่างเล็กผงะถอยหลังไปแอบอยู่ข้างตึก และเตรียมถอยหนีกลับไปทางเก่า หากแล้วแขนเรียวเล็กก็ถูกกระชากไว้
“จะรีบหนีไปไหนล่ะ หา...” เสียงห้าวสะกดตรึงร่างเล็กไว้กับที่ “จะมาเยาะเย้ยฉันไม่ใช่เหรอ แล้วจะรีบเดินหนีทำไม”
“มะ...ไม่ใช่นะคะ โอ้ย!” คนตัวเล็กนิ่วหน้าเพราะแรงที่บีบแขนไว้แน่นทำให้เจ็บ
“ไม่ใช่อะไร” น้ำเสียงเข้มสะบัด “ สมใจเธอแล้วสินะ ที่เขี่ยฉันออกจากบ้านนี้ได้”
“ปะ... เปล่านะคะ ฉันไม่เคยคิด...”
“อย่าดีใจจนออกนอกหน้านัก ฉันจะบอกให้รู้ไว้ซะนะว่า ที่ฉันไปไม่ใช่เพราะเธอ แต่เป็นเพราะอนาคตของตัวเองต่างหาก ทุกอย่างในบ้านนี้จะเป็นของฉัน และเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันกลับมา คนที่ต้องเป็นฝ่ายไปก็คือก้อนกรวดไร้ค่าอย่างเธอ จำเอาไว้นะ... ฉันเกลียดเธอ... ไม่อยากเห็นหน้าเธออีกตลอดไป!” ขาดคำนั้นมือแข็งราวคีมเหล็กร้อนก็ปล่อยแขนเรียวเล็กทิ้งอย่างไม่ไยดี พีรภัทรไม่แม้แต่จะเหลียวไปมองร่างเล็กที่ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นน้ำตาริน
หนทางที่เคยคิดว่าอาจจะกลับมาบรรจบได้สักวัน...ฉีกขาดย่อยยับ จากวันนั้นเธอและเขาคือ... เส้นขนาน... อันไม่มีวันบรรจบกันได้อย่างถาวร!
