บทที่ 6 - สถานะเปิดเผย 1
-บ้านสิริรัฐภาค-
“จ๊ะเอ๋! นึกว่าใคร เป็นที่รักนี่เอง”
หมับ! ฉันวิ่งเข้าไปกอดพี่โซ่จากทางด้านหลังในขณะที่เขากำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับฝากระโปรงรถเฟอร์รารี่สีแดงคันโปรดของพ่อ
“จะมาบ้านเค้าทำไมไม่บอก คิดถึงลินล่ะสิ”
“พี่ไม่ได้มาหาเธอ คุณรามิลโทรตามให้พี่มาเช็คเครื่องยนต์ให้”
เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เฉยชามาก ช่างทำร้ายจิตใจฉันสุดๆ แต่ไม่สนใจหรอก แค่ได้เห็นหน้าก็ดีใจแล้ว
ช่วงนี้เขาทั้งเรียนและทำงานหนัก เราสองคนเลยไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน พูดแล้วคิดถึง อยากฟัดพี่โซ่จะแย่อยู่แล้ว
“เซ็งเลย นึกว่าพี่คิดถึงลินซะอีก”
“ปล่อยให้พี่ทำงานได้แล้วลิน อย่าเพิ่งกวน” เขาพยายามแกะแขนฉันออกจากการเกาะกุม แต่เรื่องอะไรจะยอม ยิ่งกอดแน่นกว่าเดิม
“ตัวพี่มีแต่เหงื่อเดี๋ยวมันจะเปื้อนชุดเธอ”
“ขอจูบให้หายคิดถึงก่อนนะ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังผลักแผ่นหลังคนตัวโตให้แนบชิดไปกับผนัง แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นไปจูบอย่างดูดดื่มนานหลายนาที จนเขาต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ถอนจูบออกก่อน
“พอแล้ว…ไม่กลัวคนอื่นมาเห็นหรือไง”
“อยู่ในโรงจอดรถไม่มีใครเห็นหรอก”
“แต่ในนี้มีกล้องวงจรปิด”
“เห็นก็ดีสิ จะเรียกให้พ่อมาดูหน้าลูกเขย”
“…..” พี่โซ่ส่งสายตาดุมองมาทางฉัน จนในที่สุดต้องยอมปล่อยเขาแต่โดยดี แค่หยอกเล่นเอง ไม่เห็นจะต้องดุขนาดนี้
“น้องลินมาอยู่ตรงนี้นี่เอง แม่กำลังจะให้คนไปตามลงมาทานข้าวเย็นพอดีเลยค่ะ”
คุณแม่เดินเข้ามาหาเราสองคนพร้อมถาดของว่างที่เตรียมมาให้เนื่องจากคุณลุงกับพี่โซ่มาที่นี่ค่อนข้างบ่อย เลยทำให้สนิทกับครอบครัวฉันในระดับนึง
“พอดีลินเห็นพี่โซ่ทำงานอยู่ค่ะ ก็เลยแวะมาหา”
“อย่าเพิ่งกวนนะคะ ให้พี่เขาทำงานก่อน”
“ลินไม่ได้กวนเลยค่ะแม่ แค่ยืนดูเฉยๆ”
“น้าเอาน้ำส้มเย็นๆ กับขนมมาให้” คุณแม่ใจดียื่นน้ำส้มคั้นที่ทำเองกับครัวซ็องให้พี่โซ่ได้กินรองท้อง ดูท่าคงจะทำงานมาตั้งนานแล้ว เหงื่อถึงได้ออกเยอะขนาดนี้
“ขอบคุณครับคุณปราง”
“เรียกคุณน้าเฉยๆ ก็ได้จ้ะ”
“ความจริงพี่ต้องเรียกว่าคุณแม่ต่างหากถึงจะถูก”
“…..” คนทั้งสองหันมาจ้องมองฉันโดยไม่ได้นัดหมาย หรือว่าพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอ
“อย่าถือสาน้องเลยนะโซ่ ปาลินก็เป็นคนขี้เล่นแบบนี้แหละ”
“วันนี้ให้พี่โซ่อยู่ทานข้าวเย็นกับเราได้ไหมคะ?”
“ได้สิ แม่ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” คุณแม่ยิ้มให้เขาอย่างใจดี ดูท่าทางจะเอ็นดูลูกเขยคนนี้ไม่น้อยเลย
“อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะโซ่ วันนี้น้าทำอาหารหลายอย่างเลย”
“ขอบคุณที่ชวนนะครับ แต่ผมคงไม่…”
“ห้ามปฏิเสธ! แม่อุตส่าห์ชวนเลยนะ” ฉันโพล่งขึ้นอย่างรู้ทัน ทำไมจะไม่รู้ว่าเขากำลังจะบอกปฏิเสธเพราะเกรงใจ
“นั่นสิ…เราคนกันเองไม่ต้องเกรงใจ” เห็นไหม คุณแม่ยังเห็นด้วยกับฉัน
-ห้องรับประทานอาหาร-
“มิลกลับมาพอดีเลย รีบมาเถอะค่ะ จะได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน”
ดวงตาคมกริบของพ่อจ้องมองมาทางพี่โซ่ที่นั่งข้างฉันอย่างสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ
“สวัสดีครับ” คนตัวโตยกมือไหว้ โดยมีคุณพ่อพยักหน้ารับรู้ อย่างน้อยคุณพ่อก็ยังไม่เมิน
“ปรางเห็นโซ่มาทำงานให้มิล เลยชวนให้มาทานข้าวเย็นด้วยกัน”
“พี่โซ่เอาไก่ทอดไหม เดี๋ยวลินตักให้” ฉันหาเรื่องชวนคุยหลังจากที่รู้สึกได้ว่าพี่โซ่กำลังอึดอัดกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ก็พ่อเล่นนั่งจ้องแบบไม่ละสายตาขนาดนั้น เป็นใครจะไม่เกร็งบ้าง
“พี่กินอะไรก็ได้”
“งั้นลองชิมไก่ทอดกับปลานึ่งมะนาวดูนะ ฝีมือแม่เค้าอร่อยมาก”
“…..” พี่โซ่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารในจานของตัวเองแบบเงียบๆ จะมีก็แต่เสียงเจื้อยแจ้วของฉันที่คอยชวนทุกคนพูดคุย
“ทำไมนายต้องเกร็งขนาดนั้น ทำตัวตามสบายสิ”
“ก็พ่อชอบทำหน้าดุอ่ะ ระวังรอยตีนกาขึ้นนะ”
“…..” คุณพ่อทำหน้านิ่งพร้อมมองสังเกตปฏิกิริยาของเราสองคน ถึงรู้ก็ไม่สนเพราะอยากเปิดตัวจะแย่อยู่แล้ว
“กินเยอะๆ เลยนะโซ่ ถ้าไม่พอเดี๋ยวน้าไปตักเพิ่มให้”
“ครับ”
“พี่ศักดิ์เป็นยังไงบ้าง ฉันได้ข่าวว่าไม่ค่อยสบายเหรอ?” คุณพ่อเอ่ยถาม เนื่องจากตึกที่เขาอาศัยอยู่เป็นของพ่อ เลยทำให้ครอบครัวเรารู้จักกัน และเป็นพรมลิขิตที่ทำให้เราสองคนได้มาเจอกันด้วย
“ช่วงนี้ความดันขึ้นหน้ามืดบ่อยครับ”
“ฉันไม่ได้เจอพ่อนายนานแล้ว ถ้ามีเวลาจะแวะเข้าไปเยี่ยมแล้วกัน”
“ครับ”
“แล้วงานที่อู่ล่ะเป็นยังไง?”
“ช่วงนี้เงียบๆ เลยไม่ค่อยมีลูกค้าครับ”
“พ่อจะถามอะไรนักหนาเนี่ย พี่โซ่นั่งเกร็งหมดแล้ว” ฉันบ่นพึมพำเพราะกลัวว่าพี่โซ่จะอึดอัดอยากหนีกลับบ้านไปซะก่อน
“พ่อแค่ถามสารทุกข์สุขดิบตามประสาคนรู้จักกัน”
“พ่อห้ามดุพี่โซ่นะ ถือว่าลินขอร้อง”
“ทำไมไม่ลองเปิดเป็นคาร์แคร์เพิ่มด้วย จะได้หาเงินหลายๆ ทาง“
“ผมติดเรียน ส่วนพ่อไม่ค่อยสบาย เลยไม่มีคนช่วยดูครับ”
“เห็นไอ้เชนมันบอกว่านายไปทำงานที่คลับด้วยเหรอ?”
“ไปทำช่วงเลิกเรียนน่ะครับ”
“ขยันดีนะ คนขยันไม่มีวันอดตายหรอก”
“ที่คลับพ่อมีตำแหน่งสูงๆ ว่างไหม ให้พี่โซ่ไปทำงานด้วยสิ ลินไม่อยากให้พี่โซ่ไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาเชนเลย งานมันหนักแถมเลิกดึกด้วย”
ฉันส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมกระพริบตาปริบๆ ขอความเห็นใจ
“แล้วหนูรู้ได้ยังไงว่าเขาทำงานหนัก”
“ทำไมจะไม่รู้ ก็หนูตามเฝ้าเขาอยู่บ่อยๆ“
“หรือที่หนูไม่ค่อยกลับมานอนบ้าน เพราะหายไปอยู่กับมัน?” คุณพ่อเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายหันมาจับผิดฉันแทน
“พ่ออย่าเปลี่ยนเรื่อง!”
“หนูนั่นแหละอย่าเปลี่ยนเรื่อง ตอบพ่อมาก่อนว่าที่หายไปบ่อยๆ หนูหายไปไหนมา”
“ปะ…เป็นเหมือนที่พ่อคิดนั่นแหละ”
“ไหนๆ ก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันแล้ว พ่อขอถามตรงๆ เลยล่ะกัน” เมื่อได้ยินคำถามกลับเป็นฉันเองที่เก็บอาการไม่อยู่ตะกุกตะกักจนนั่งไม่ติดเก้าอี้
“เราสองคนเป็นอะไรกัน?”
“เป็น…”
“พ่อถามเขา ไม่ใช่ถามหนู”
“…..” ดวงตากลมโตเลิ่กลั่กเพราะลุ้นว่าพี่โซ่จะตอบคำถามของพ่อยังไง
“ว่าไง ตอบมาแบบลูกผู้ชาย! นายกับลูกสาวฉันเป็นอะไรกัน?”
“แล้วแต่ปาลินจะให้เป็นครับ”
“ทำไมต้องแล้วแต่ลูกฉัน”
“เพราะผมยอมน้องทุกอย่าง”
บรรยากาศภายในห้องทานข้าวเงียบลงไปชั่วขณะ ไม่คิดมาก่อนเหมือนกันว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้จากปากเขา
“แล้วเรื่องงานของพี่โซ่พ่อจะว่ายังไง?”
“ไม่มีตำแหน่งว่าง ให้มันทำงานกับอาเชนน่ะดีแล้ว จะเอามันมาให้พ่อปวดหัวทำไม”
“คุณพ่อมีคลับตั้งหลายสาขา รับเพิ่มอีกคนไม่ได้เลยเหรอ” ฉันลุกขึ้นเดินเข้าไปหาพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ก่อนจะก้มลงกอดพ่อไว้แน่นอย่างออดอ้อน
“อนาคตพี่โซ่ต้องมาเป็นพ่อของลูกลินนะ พ่ออย่าใจร้ายใจดำไปหน่อยเลย”
ประโยคนี้ฉันกระซิบกระซาบพูดกับพ่อเบาๆ แน่นอนว่ามีแค่เราสองคนที่ได้ยิน
“พ่อจะทนเห็นลูกเขยของพ่อลำบากได้เหรอคะ”
“เดี๋ยวพ่อจัดการให้”