บทที่2
บทที่2 ด้ายแดงที่ตัดไม่ขาด
หงเหม่ยเดินวนเวียนคอยตัดด้ายแดงเส้นนั้นทุกวัน เพื่อหวังด้ายเส้นนั้นจะขาดสะบั้นลงในสักวัน ในคราแรกที่นางเห็นด้ายที่ขาดลงเชื่อมต่อกันอีกครั้ง นางก็แปลกใจ แต่ความคิดนั้นก็อยู่เพียงชั่วครู่ ที่แห่งนี้อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า และด้ายแดงแห่งวาสนาที่กำเนิดจากพลังของผู้เฒ่าจันทราจะขาดลงง่ายดายเพียงเพราะถูกกรรไกรเล็กๆ ตัดขาดได้อย่างไร
โง่เขลายิ่งนัก
อยู่มาหลายหมื่นปีแต่กลับมีความคิดตื้นเขิน จะพรากวาสนาผู้อื่นคิดว่ามันง่ายหรือไร
เป็นเทพธิดาแล้วอย่างไร เป็นลูกศิษย์ของผู้เฒ่าจันทราแล้วอย่างไร พลังนางหาได้แกร่งกล้าไม่ แม้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพธิดาแต่ก็เป็นเพียงเซียนตัวเล็กๆ แม้พลังของนางจะแกร่งกล้ากว่าเทพธิดาตนอื่นในวังแห่งนี้ แต่อย่าคิดไปเทียบกับเทพธิดาเทพตำหนักอื่นเชียว มันคนล่ะชั้น เทพธิดาในวังเยว์เหล่านั้นรักสงบ อยู่เพื่อคอยถักทอด้ายแดง แม้หงเหม่ยจะก้นด่าตนเองเช่นนั้น แต่นางก็นึกวิธีที่จะทำให้วาสนารักของหลิวชิงชิงและจ้าวเยว่ชิงขาดไม่ออก ก็นึกออกแค่วิธีนี้วิธีเดียวนิ นางจึงลงมือทำซ้ำๆ แม้จะไร้ผล แต่นางก็ยังคงทำอยู่เช่นนั้น หวังให้พลังที่คุ้มครองด้ายแดงอ่อนลงและจะขาดออกจากกันในสักวัน
"คารวะท่านอาจารย์" หงเหม่ยรีบกล่าวต้อนรับเมื่อเห็นเจ้าของวังปรากฏตัว
"วังเยว์เหล่าเป็นเช่นไรบ้างระหว่างที่ข้าไม่อยู่" เฒ่าจันทรายื่นม้วนกระดาษให้หงเหม่ย ในบรรดาเทพธิดาในวังของเขามีเทพธิดาเพียงไม่กี่ตนที่เขารับเป็นลูกศิษย์ หนึ่งในนั้นคือเทพธิดาหงเหม่ย เขาเอ็นดูนางกว่าใคร รัก โลภ โกรธ หลง มักจะปนเปกันจนยากจะแยกออก มีคนสมหวังย่อมมีคนผิดหวัง นางมองความรักของมนุษย์อย่างเข้าใจและไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวไปปะปน
"ก็ปกติเช่นทุกครั้งที่ท่านไม่อยู่ ม้วนใหญ่เสียจริง" หงเหม่ยมองม้วนหนังสือที่รับมาจากอาจารย์ของนาง "คราวนี้เทพลิขิตเขียนชะตาของมนุษย์เช่นไรข้าอยากรู้จริงเชียว คงจะมีวาสนาให้ผูกมากมายเลยสินะม้วนกระดาษถึงได้ใหญ่กว่าทุกครั้ง"
"เทพลิขิตคงเห็นโลกมนุษย์สงบสุขมานาน จึงเขียนเรื่องราวมากมายให้วุ่นวายไปหมด ครานี้มีการแก่งแย่งตำแหน่งฮองเต้ ใต้หล้าคงจะไม่สงบสุขเท่าใดนัก"
"ต่อให้แย่งชิงกันจนเลือดนองทั้งแผ่นดิน บุรุษผู้นั้นคงจะได้ขึ้นครองราชย์อีกแล้วใช่ไหมเจ้าคะ" หงเหม่ยเอ่ยถาม บุรุษผู้นั้นที่นางหมายถึงก็คือ จ้าวเยว่ชิง ในอดีตก่อนเขาเคยเป็นเทพ ก่อนที่นางจะได้มาเป็นเทพธิดาเสีย เขายอมละสังขารลงไปเวียนวายในโลกมนุษย์เพราะความรักต่อสตรีนางหนึ่ง คือ หลิวชิงชิง นี่สินะด้ายแดงเส้นนั้นถึงได้ตัดยากตัดเย็นหนัก
"มังกรย่อมต้องอยู่เหนือผู้คน"
"แล้วเรื่องราวทั้งหมดจะเริ่มต้นเมื่อใดเจ้าคะ ข้าจะได้ให้เหล่าเทพธิดาเตรียมวัตถุดิบมาทำด้ายวาสนาให้อาจารย์ทำพิธี"
"พรุ่งนี้"
"หา! พรุ่งนี้" เร็วไปไหม นั่นก็หมายความว่าหลงเจี้ยนกั๋วจะเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง พวกเขาจะกลับมาเกิดอีกครั้ง ภพชาติของพวกเขาทั้งสามจะวนเวียนอีกรอบ ข้ายังตัดด้ายแดงไม่สำเร็จเลย
"พริบตาเดียวของเจ้า โลกมนุษย์ก็หมุนเวียนไปไม่รู้กี่ฤดูกาลแล้ว" เฒ่าจันทราส่ายหัวกับอากับกริยาของลูกศิษย์ พอมีงานมาให้ทำก็ตกอกตกใจเกินกำลัง
"ท่านอาจารย์ ข้ามีเรื่องสงสัย ท่านพอจะชี้แนะข้าได้หรือไม่"
"ว่ามาสิ" เฒ่าจันทราเดินนำหน้าไปยังห้องตำราของตน ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ
"พอดีว่า... ข้าเผลอทำกรรไกรไปโดนเส้นด้ายของบุรุษผู้นั้น ในตอนแรกข้าตกใจมากเลย นึกว่าได้ตายแน่ๆ ที่ไปพลาดตัดวาสนาผู้อื่น แต่ไม่ช้าด้ายเส้นนั้นก็เชื่อมต่อดั่งเดิม" หงเหม่ยลองลอบๆ เคียงถามอาจารย์ของนางดู นางมีเวลาไม่มากแล้ว คงใช้วิธีเดิมๆ ที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว หลงเจี้ยวกั๋วกำลังจะกลับไปเกิดและต้องพบกับความเสียใจอีกครั้ง นางยอมไม่ได้
"อ้อ สองคนนั่นไม่ได้ผูกกันเพียงเพราะด้ายแดงหรอก เจ้าเห็นตุ๊กตาสองตัวนั้นไหม" นิ้วเหี่ยวย่นชี้ไปยังตุ๊กตาไม้สองตัวที่ถูกแดงกลุ่มหนึ่งพันเอาไว้อย่างแน่นหนา
หงเหม่ยพยักหน้า
"ต่อให้ด้ายแดงที่วังเยว์เหล่าจะขาดไป แต่ก็จะต่อติดอีกครั้ง เพราะสองคนนั้นนอกจะเชื่อมกันด้วยด้ายแดงแล้วเศษเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณก็อยู่ในตุ๊กตาไม้นั่น แม้ในตุ๊กตานั่นจะมีเพียงเศษเสี้ยวแต่ก็เชื่อมวิญญาณทั้งดวงเอาไว้ อีกทั้งด้ายที่มัดตุ๊กตาสองตัวนั้นไว้ด้วยกันต่อให้ใช้กรรไกรวิเศษมาจากภพใดก็ไม่สามารถตัดขาด"
"หู้ย แล้วแบบนี้ด้ายเส้นนี้ก็ไม่มีสิ่งใดทำลายมันได้ใช่ไหมเจ้าคะท่านอาจารย์ พวกท่านสร้างสิ่งวิเศษเช่นนี้เพื่อมนุษย์เพียงผู้เดียว ข้าเริ่มอยากรู้แล้วสิ ว่าก่อนที่จ้าวเยว่ชิงยอมละทิ้งสวรรค์ลงไปอยู่ดินแดนของมนุษย์นั้นเคยเป็นเทพองค์ใดมาก่อน ถึงได้ถืออภิสิทธิ์ขนาดนี้" แล้วข้าจะทำลายด้ายเส้นนี้ได้ยังไงเหล่าถ้ามันเป็นของวิเศษขนาดนั้น หงเหม่ยคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไรดี
"เรื่องนั้นคือความลับของสวรรค์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เจ้าจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก แต่ไม่มีสิ่งใดแข็งแกร่งที่สุดหรอกหงเหม่ย ทุกสิ่งย่อมมีจุดอ่อน ด้ายนั่นก็เช่นกัน ถึงจะตัดไม่ได้แต่ก็สามารถถูกเตาไฟโลกันต์ในตำหนักของเง๊กเซียนทำลายให้สลายเป็นเถ้าถ่านได้"
"โหว ทำลายด้ายก็ว่ายากแล้ว เข้าไปถึงตำหนักเง๊กเซียนยากยิ่งกว่า อีกทั้งเตาไฟที่ท่านว่านั่นอยู่ในห้องบรรทมของเง๊กเซียน ผู้ใดคิดลอบเข้าไปก็คงไม่ได้รักชีวิตของตนแล้วล่ะเจ้าค่ะ คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่หาญกล้ากินตีนหมีดีเสือ"
"คนโง่มีหลายประเภท"
"ข้าจะไปเจอคนโง่เช่นนั้นได้ที่ไหนกันเล่า วันๆ มีแต่เฝ้าดูความรักของพวกมนุษย์" นางหยักไหล่
"ใช่ว่าความรักจะไม่ทำให้คนโง่เขลา หงเหม่ยการอยู่ด้วยความรักนั้นจะมีความสุข แต่การอยู่เพื่อความรักจะกลายเป็นโง่เขลา เจ้าจำคำของข้าไว้"
นางก้มหน้าหลบสายตาชายชรา ไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่สนทนากันนางหลุดพิรุธอะไรออกไปจนทำให้อาจารย์สงสัยหรือไม่