บทที่ 7 ผู้ช่วยคนใหม่ (3)
การทำงานวันแรกในฐานะผู้ช่วยของนายอัศวินแห่งไร่กมลเริ่มต้นขึ้น ณ เวลาตีห้า ปลายฝนตื่นตั้งแต่ตีสี่ อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดพร้อมพรักสำหรับการลุยงานในไร่กว้างใหญ่ รวมถึงอุปกรณ์สมุดดินสอ หมวกแก๊ป ผ้าเช็ดหน้าก็ไม่มีลืมตามที่จัดวางไว้ก่อนออกจากห้อง
ภารกิจแรกในตำแหน่งผู้ช่วยของนายอัศคือการออกมาตรวจสอบออเดอร์สำหรับการส่งออกสู่ตลาดทั้งจังหวัดเชียงราย รถกระบะจอดเรียงยาวไปหลายเมตรเตรียมรอรับผักสด ๆ ใบเขียว ๆ ขึ้นรถเพื่อนำไปขายกับเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่ไว้วางใจเลือกซื้อ
ปลายฝนเบิกตากว้างชนิดที่ว่าความง่วงก็ไม่สามารถทำอะไรได้ รถที่จอดเรียงรายนับสามสิบคันทำให้เธอตื่นตะลึงเพราะมันเป็นภาพที่เธอเคยเห็นมานานจนเกือบจะจำไม่ได้
ลูกสาวของพ่อเลี้ยงรณที่เติบโตกับดินกับผักมาตั้งแต่เด็กย่อมรับรู้กระบวนการส่งออกทุกอย่าง แต่เธอก็ไม่เคยเห็นว่าไร่กมลจะต้องส่งออเดอร์ให้ลูกค้ามากมายขนาดนี้ เพราะลูกค้าที่ไร่พันทิพย์ของเธอค่อนข้างจะบางเบา มีรถกระบะมากกว่าห้าคันมาจอดรอก็ถือว่าหรูหราแล้ว
“วางระวังหน่อย เดี๋ยวช้ำหมด” อัศวินบอกกับคนงานที่กำลังขนผักขึ้นไปไว้ที่กระบะ
คนงานนับร้อยทำหน้าที่ของตัวเองกันให้วุ่น อาจจะเป็นเพราะวันนี้นายใหญ่มาคุมงานเองกับมือ ใครบ้างจะไม่ร้อนรนรีบทำงานจนหัวหมุน
“นี่! ยืนบื้ออยู่ทำไม ไปช่วยคนอื่นขนขึ้นรถสิ!” จากคำสั่งการกับเหล่าคนงานก็เบนหันมายังผู้ช่วยสาวที่ยังคงยืนนิ่งมาตั้งแต่ต้น
“ฮะ?”
“ไปขนผักขึ้นรถ!” อัศวินย้ำคำด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นมากกว่าเก่า ตำแหน่งผู้ช่วยไม่ได้มีภาระงานขนผักดั่งที่สั่ง หากแต่ว่าเขาต้องการกลั่นแกล้งเธอผู้นี้ให้หลาบจำก็เท่านั้น
“ฉันต้องทำด้วยเหรอ”
“นี่คือคำสั่ง!”
“อึก...” ปลายฝนสะดุ้งโหยงกับเสียงตอกหน้า เธอข่มความโกรธไว้ส่วนลึกก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหล่าคนงานแบกหามผักกองใหญ่อย่างทุลักทุเล
หน้าที่แรกของการเป็นผู้ช่วยคืองานขนผัก ร่างแบบบางทำตามคำสั่งโดยไม่มีคำบ่นหลุดลอดออกจากปากให้ได้ยิน ซ้ำร้ายเรี่ยวแรงน้อยนิดก็ทำให้เธอไม่สามารถทำตามดั่งที่เจ้านายต้องการได้
ผักที่ถูกบรรจุใส่ตะกร้าล้วนแต่มีน้ำหนักมากกว่ายี่สิบโล ลำพังแค่เธอคนเดียวคงยกมันขึ้นรถไม่ไหว
“ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ก็ลาออกไปซะ!” อัศวินเดินเข้ามากระชากแขนเล็กจนของในมือร่วงหล่นลงพื้นเทกระจาด
ปลายฝนเม้มปากแน่นเมื่อไม่สามารถทำอย่างที่คิดได้ เธอไม่อยากทำตัวอ่อนแอให้ใครเห็น ไม่อยากโดนดูถูกว่าคนอย่างเธอไม่สู้งาน แต่เรี่ยวแรงของเธอไม่สัมพันธ์กับความตั้งใจจนทำให้ทุกอย่างพังไม่เป็นท่าทั้งที่เพิ่งเริ่มต้น
“นายครับ แต่มันหนักมากเลยนะครับ แบกคนเดียวไม่ไหวหรอก พวกผมยังต้องช่วยกัน...”
“หุบปากมึง!” อัศวินตวัดสายตาสั่งห้ามไม่ให้ใครเสนอหน้าพูดขึ้นมาอีก
ความอคติและความบาดหมางที่มีต่อพี่ชายและไร่เธอปะทุร้อนอยู่กลางใจ ทำให้ในตอนนี้เขามีเพียงคำสบประมาทและการเย้ยหยันเท่านั้น
“ตามมานี่!” มือหนาออกแรงกระชากให้ปลายฝนเดินตามเขาไปอีกหนึ่งหนทาง โดยไม่สนใจการต่อต้านจากคนตัวเล็กเลยสักนิด
“ฉันเจ็บนะ!”
“ก็เดินให้มันเร็ว ๆ ไม่ได้หรือไง คิดจะเข้ามาทำงานที่ไร่นี้ก็ต้องขยัน จะมัวเดินเอ้อระเหยเอาแต่ขอเงินพ่อเหมือนอย่างเมื่อก่อนน่ะไม่ได้แล้วรู้เอาไว้ด้วย ตอนนี้เธอต้องมาทำงานให้คุ้มค่าแรงของไร่กมล จำใส่หัวเอาไว้ว่าไร่กมลกำลังอุ้มชูเธอ!”
ปลายฝนเบนหน้าออกไปอีกทางเมื่อไม่สามารถปฏิเสธคำตอกหน้าอันแสบเจ็บปวดเหล่านั้นได้ ตอนนี้เธออยู่ในฐานะคนของไร่กมล เงินค้ำจุนก็มาจากไร่กมลแห่งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่อัศวินทำก็สาสมกับสิ่งที่เธอต้องพบเจอแล้ว
“คุณจะให้ทำอะไร บอกมาได้เลย”
“โอ้โห วันนี้นายอัศมาคุมงานเองเลยเหรอครับเนี่ย เป็นบุญตาไอ้วรรษจริง ๆ” สุ้มเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นตามมาด้วยร่างสูงที่เดินผ่ากลางเมื่อเห็นมาตั้งแต่ต้นว่าทั้งสองคนกำลังปะทะคารมกันอย่างดุเดือด
‘ศตวรรษ’ ผู้ช่วยของนายอัศกระแอมเบา ๆ และเอ่ยแซวเสียงปนขำ เพื่อบรรเทาความตึงเครียดที่ก่อตัวจนทำเอาเหล่าคนงานต่างก็รีบหลบหนีเพราะกลัวจะถูกหางเลขไปด้วย
“อะไรของมึงวะไอ้วรรษ ปากมาก”
“เอ้า! ก็จริงอะ ปกติเคยเห็นหัวที่ไหนล่ะ อย่างนายอัศต้องไปเข้าประชุมในห้องแอร์เย็น ๆ โน่น!”
“ทำมาเป็นพูด เวลานี้กูก็ไม่เคยเห็นหัวมึงสักครั้งเลยนะ แล้วก็อีกอย่าง มึงเองก็ไปกับกูไหมล่ะไอ้วรรษ! มึงเป็นผู้ช่วยกูก็ต้องตามกูไปทุกที่เหมือนกันแล้วทำพูด” อัศวินกอดอกมองคนรุ่นน้องที่ยังออกปากแซวไม่หยุด
“ฮ่า ๆ ยอมรับก็ได้ว่าตั้งใจตื่นเช้าเพื่อมาแนะนำตัวกับผู้ช่วยคนใหม่ของนายอัศนั่นแหละ ผมมีคนช่วยทำงานทั้งทีก็ต้องมาเสนอหน้าหน่อยสิคร้าบไอ้พี่อัศ”
แต่ทว่าคำว่า ‘ผู้ช่วย’ ที่อัศวินพูดขึ้นมานั้นกลับทำให้ปลายฝนที่ยืนอยู่ไม่ไกลถึงกับต้องเอ่ยถามในทันที
“ผู้ช่วยเหรอ?”
บทสนทนาระหว่างอัศวินและศตวรรษจำต้องจบลง สองหนุ่มหันมองหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ผู้ช่วยหลายคนดีจะตายครับ อย่างที่รู้ว่าไอ้พี่อัศหรือนายอัศวินเนี่ยงานเยอะจะตาย ได้คุณปลายฝนมาช่วยคงช่วยผ่อนแรงผมได้เยอะเลยล่ะครับ” ศตวรรษส่งยิ้มกว้างที่หลายต่อหลายคนก็คงระทวยกับเสน่ห์อันเหลือล้น
ขนาดเธอเองที่เพิ่งเห็นหน้าเขาไม่กี่นาทีก็ยังรู้สึกว่าเขาคนนี้น่าคบหา อย่างน้อย ๆ เพื่อนร่วมงานของเธอก็เป็นมิตรและยังใจดีอีกด้วย
“อ้อ ลืมแนะนำตัวไปเลย ขอโทษทีครับ ผมศตวรรษครับ เป็นผู้ช่วยของนายอัศ ผมเป็นลูกของพ่อเศรษฐ์ที่เป็นเจ้าของไร่ส้มข้าง ๆ ไร่กมลนี่แหละครับ พ่อเลี้ยงอิฐกับพ่อของผมเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ผมก็เลยต้องมาช่วยไอ้พี่อัศทำงานนี่แหละครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
