บทที่ 12 สร้างแต่เรื่อง (4)
“พี่อัศก็มีคุณปลายฝนเป็นผู้ช่วยอีกคนไม่ใช่เหรอ ให้คุณปลายฝนทำสิ เรื่องเงินเรื่องทองผมไม่อยากยุ่ง” ศตวรรษเสนอถึงผู้ช่วยอีกคนที่เก่งกาจไม่แพ้ตน ถึงจะรับรู้ว่าสองคนนี้ไม่กินเส้นกันและมีปากเสียงอยู่บ่อยครั้ง แต่ในเรื่องการทำงานนั้นปลายฝนก็เป็นคนที่จัดว่าไม่เป็นรองใครเลยทีเดียว
“เขาเป็นคนนอกไอ้วรรษ จะให้มาดูแลเรื่องเงินได้ไง ยิ่งตอนนี้ที่ไร่ของเขาก็วิกฤตอยู่ กลัวจะขโมยเงินไปนี่ดิ ถ้าเป็นแบบนั้นยุ่งเลยนะเว้ย!” อัศวินพูดตามจริง ฟังดูแล้วมันอาจจะใจร้ายที่ตัดสินเธอทั้งที่ยังไม่ดูการทำงาน แต่เรื่องเงินเรื่องทองมันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ เขาถึงต้องฝากฝังให้คนรู้จักที่ไว้ใจจัดการเท่านั้น
“เออ ๆ ก็ได้! ผมจัดการให้แค่รอบนี้นะ เรื่องเงินยิ่งไม่อยากยุ่งอยู่ เกิดเงินหายขึ้นมาพ่อผมด่าเปิงแน่!”
ถึงแม้ว่าพ่อของศตวรรษจะมีหุ้นของไร่กมลอยู่ แต่ในฐานะผู้ช่วยนายอัศอย่างเขาย่อมไม่สามารถใช้อภิสิทธิ์นอกเหนือจากคำว่าลูกน้องได้ ถ้าเกิดปัญหาเรื่องเงินขึ้นจริง ๆ ต่อให้จะเป็นคนรู้จักหรือใกล้ตัวก็ต้องชดใช้ไปตามสมควร
หลังจากที่ตกปากรับคำจากอัศวินเรียบร้อย ศตวรรษก็หอบเงินหลายแสนกกกอดไว้แนบอกราวกับหวงแหนเท่าชีพ ชายหนุ่มเดินดุ่ม ๆ ไปยังรถกระบะของตัวเองและวางเงินก้อนลงบนเบาะข้างคนขับก่อนที่ตัวเองจะเดินอ้อมไปยังที่นั่งประจำซึ่งก็คือฝั่งพวงมาลัย
รถกระบะคันโก้ขับไปตามทางเพื่อตรงไปยังบ้านหลังงามของตัวเองที่อยู่ไร่ส้มข้าง ๆ กัน แต่จังหวะนั้นสายตาคมกลับหันไปเห็นเพื่อนร่วมงานในตำแหน่งเดียวกัน ที่ตอนนี้กำลังเดินต้อย ๆ อยู่ข้างถนน
“คุณปลายฝน! คุณปลายฝนครับ!” ศตวรรษเปิดกระจกตะโกนเรียกหาหญิงสาวพลางจอดรถเทียบข้าง ๆ เพื่อให้เธอได้ยินเสียงของเขาอย่างชัดเจน
“อ้าวคุณวรรษ กำลังจะกลับบ้านเหรอคะ” ปลายฝนหันมาตามต้นเสียงก็เห็นว่าเป็นศตวรรษที่ชะโงกหน้าออกมาหน้ากระจกรถ
“ครับผม แล้วคุณปลายฝนเพิ่งกลับมาถึงไร่เหรอครับ หรือว่าจะไปไหน”
ตอนนี้ก็เวลาหกโมงกว่าแล้วแต่เขาเห็นเธอที่ทางเข้าไร่ซึ่งหนทางที่เธอกำลังเดินตรงไปนั่นก็คือบ้านหลังใหญ่ของอัศวิน เขาจึงเดาได้ว่าหญิงสาวน่าจะกำลังกลับมาเป็นแน่
“ฝนเพิ่งกลับมาจากไร่พันทิพย์น่ะค่ะ พ่อฝนไม่ค่อยสบายเลยกลับไปดูสักหน่อย” หลังเลิกงานแล้วเธอก็ขอติดรถป้าหน่อยออกไปที่ปากทางไร่ก่อนจะเรียกรถสองแถวเพื่อเดินทางไปยังไร่พันทิพย์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก
เธอทราบข่าวว่าพ่อป่วยจากพี่ชายจึงรีบไปหาที่บ้าน พอไปถึงก็เห็นว่าอาการน่าเป็นห่วงจริง ๆ ถามไถ่จากปากขุนเขาก็ได้ว่าความเมื่อคืนโหมงานเอกสารหนักไม่ยอมหลับยอมนอน และเมื่อเช้าตรู่ก็ออกไปตรวจงานเองกับมือ จนกระทั่งไข้ขึ้นนอนซมลุกจากเตียงไม่ไหว
“งั้นขึ้นรถเถอะครับ เดี๋ยวผมขับไปส่งที่เรือนใหญ่ เดินไปเองแบบนี้เหนื่อยแย่เลย”
“แต่คุณวรรษกำลังจะกลับ...”
“ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ ว่าจะกลับไปก๊งเหล้ากับไอ้พี่อัศสักหน่อย ทีนี้เราก็กลับทางเดียวกันแล้วนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ มาครับ ขึ้นเลย!”
ระยะทางจากปากทางไร่ไปยังเรือนใหญ่ของอัศวินนั้นมากกว่าสองกิโลฯ หากผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอเดินไปแบบนี้มีหวังเป็นลมเป็นแล้งไปก่อนถึงเป็นแน่
ศตวรรษนำเงินก้อนไปไว้ที่เบาะด้านหลังก่อนที่ร่างแบบบางจะนั่งประจำที่ฝั่งข้างคนขับแทน
“แล้วอาการพ่อเลี้ยงรณเป็นยังไงบ้างครับ พรุ่งนี้คุณปลายฝนลางานก็ได้นะครับเดี๋ยวผมจัดการให้ พอดีไอ้ยอด...เอ่อผู้จัดการไร่มันลางานผมเลยต้องรับหน้าที่นี้ไปก่อน”
“ถ้าอย่างนั้น...ฝนขอลางานหนึ่งวันนะคะ รบกวนคุณวรรษด้วยนะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ”
ศตวรรษยิ้มรับและหันไปสนใจกับหนทางตรงหน้าที่เห็นหลังคาบ้านหลังใหญ่อยู่ไกล ๆ จากเดิมตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปพักผ่อน แต่ตอนนี้กลับอยากดื่มเหล้ากับพี่ชายที่เคารพนับถือเสียอย่างนั้น นั่นก็คงเป็นเพราะเห็นหญิงสาวเกรงใจกระมังถึงได้เปลี่ยนใจกลับรถไปยังบ้านหลังใหญ่แทน
