ตอนที่5 พยายาม
ตอนที่5 พยายาม
พยายามทำเพื่อคนที่ชอบ จะไม่มีคำว่าเหนื่อย
“พี่กลับก่อนนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยลาเด็กสาวตาละห้อยเมื่อถึงเวลาที่ผู้เป็นพ่อมารับกลับบ้าน
“จะอาลัยอาวรณ์อะไรน้องมันขนาดนั้น นี่ขนาดแกพึ่งเจอน้องมันแค่สองวันเองนะแกยังหลงน้องขนาดนี้ พ่อไม่อยากจะคิดต่อไปแกจะห่างน้องมันได้ไหม” วสินที่เห็นสายตาลูกชายมองเด็กสาวจึงพูดขึ้น
“แล้วทำไมพ่อไม่พาผมมาเจอน้องตั้งนานกว่านี้” เซิร์ฟหันไปถามผู้เป็นพ่อ
“เอ้า! แกจะมามองพ่อแบบนั้นไม่ได้ พ่อชวนแกมาด้วยหลายครั้งก็เห็นแกปฏิเสธทุกครั้ง ทีนี้ทำมาเป็นไม่พอใจ”
“แล้วทำไมพ่อไม่บอกว่าเพื่อนพ่อมีลูกสาวน่ารักขนาดนี้ ถ้ารู้แบบนี้ผมมาด้วยตั้งนานแล้ว”
“พ่อก็บอกแกแล้วว่าน้องน่ารักนะ แกก็ว่าพ่ออยากได้ลูกสาวเห็นลูกใครก็ชมเขาว่าน่ารักไปหมด” สองพ่อลูกเถียงกันไปเถียงกันมาจนรถเลี้ยวเข้ามาจอดโรงจอดรถในบ้าน
“ยังไงพ่อก็ผิดที่ทำให้ผมเสียเวลามาตั้งหลายปี” เซิร์ฟยังหันกลับไปว่าให้ผู้เป็นพ่อขณะที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ
“แกจะมาว่าพ่อเป็นคนผิดไม่ได้ แกต่างหากที่ไม่ยอมเชื่อพ่อตั้งแต่แรกว่าน้องน่ารักจริง ๆ พ่อน่ะอยากจะสมน้ำหน้าแกด้วยซ้ำ” วสินว่าลูกชายกลับอย่างไม่คิดจะยอมแพ้เช่นกัน
“พ่อนั่นแหละผิด ต่อไปพ่อต้องช่วยผมทุกอย่าง และห้ามปฏิเสธด้วย” พูดจบชายหนุ่มคว้ากระเป๋าสะพายรีบลงจากรถทันที เท้ายาวรีบสาวเท้าเดินเข้าบ้านและตรงดิ่งไปยังห้องอ่านหนังสือของผู้เป็นย่า
“เซิร์ฟลูก กะ..กลับมา อ้าวเซิร์ฟจะรีบไปไหนลูก” ทิพย์ญาดาที่กำลังจัดอาหารขึ้นโต๊ะเห็นลูกชายเดินผ่านจึงเอ่ยถามขึ้น แต่เหมือนชายหนุ่มไม่ได้สนใจฟังผู้เป็นแม่ รีบเดินผ่านหน้าตรงดิ่งไปยังห้องอ่านหนังสือของบ้าน
“คุณย่าอยู่นี่เอง สวัสดีครับ” ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าลงข้างหญิงสูงวัยที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้โยกในห้องหนังสือของบ้าน
“มีอะไรฮึหลานย่า ถึงได้ดูรีบร้อนเข้ามาหาย่าขนาดนั้น” เมื่อเห็นพฤติกรรมที่ดูไม่ปกติของคนเป็นหลานย่าจึงเอ่ยถามขึ้น
“เซิร์ฟมีเรื่องให้ย่าช่วยหน่อยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกย่า มือทั้งสองบีบนวดอยู่ที่ขาเล็กที่เหี่ยวย่นตามวัยอย่างเบามือ
“มีเรื่องให้ย่าช่วย เรื่องอะไรหืม..”
“พรุ่งนี้คุณย่าช่วยทำขนมเม็ดขนุนให้เซิร์ฟหน่อยได้ไหมครับ พรุ่งนี้เซิร์ฟจะพาน้องแพรมาเที่ยวบ้านเรา น้องอยากทานเม็ดขนุนฝีมือคุณย่าครับ” มือหนาจับเข่าผู้เป็นย่าทำหน้าตาออดอ้อนราวกับเด็ก
“ได้สิลูกเรื่องแค่นี้เอง พรุ่งนี้ย่าจะทำเตรียมไว้ให้ จะพาน้องมาตอนเลิกเรียนใช่ไหม” หญิงสูงวัยที่ไม่เคยขัดใจหลานมาตั้งเด็กรับปากออกไปโดยเร็ว
“ใช่ครับ” รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นมุมปากอย่างเก็บไม่อยู่
“ดูหลานย่าจะมีความสุขเป็นพิเศษนะที่จะมีแขกมาบ้าน” หญิงสูงวัยเอ่ยแซวคนเป็นหลานออกไป มือเล็กที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลายกขึ้นลูบศีรษะชายหนุ่มอย่างรักใคร่
“น้องน่ารักครับ รับรองถ้าคุณย่าเจอน้องคุณย่าจะหลงรักน้องเหมือนอย่างที่ผมรัก” ปากหยักพูดคำว่ารักออกมาเต็มปากไม่มีทีท่าเคอะเขิน
“ย่าว่าไม่น่าเหมือนนะ เพราะดูจากสายตาหลานชายย่าแล้วไม่น่าจะคิดกับน้องแค่คนรู้จักแล้วล่ะใช่ไหม” หญิงสูงวัยผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเอ่ยขึ้นเพราะดูจากสายตาของชายหนุ่มเวลาที่พูดถึงเด็กสาวนั้นดูมีความสุขฉายแววเด่นชัดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“น้องยังเด็กครับ ตอนนี้ยังคิดไม่ได้” เสียงทุ้มตอบออกไปไม่เต็มปากเพราะเอาเข้าจริงตอนนี้เขาก็คิดกับเธอมากกว่าน้อง แต่ด้วยอายุของทั้งสองที่ยังเด็กมากจึงยังไม่ค่อยเหมาะสมที่จะคิดเรื่องนี้สักเท่าไหร่ตอนนี้
“แล้วถ้าถึงตอนที่น้องโตล่ะ” ผู้เป็นย่าแกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“ถ้าน้องโตแล้ว ก็คิดครับ” เซิร์ฟตอบออกไปอย่างที่ใจคิด ไม่เคอะเขิน
“ดูท่าจะหลงน้องมากนะเรา ย่าชักอยากเห็นหน้าน้องแล้วสิ”
“จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” ยืดอกรับต่อหน้าย่าแบบแมน ๆ ด้วยความที่โตมาแบบเพื่อนจึงสามารถคุยและปรึกษากันได้ทุกเรื่อง แม้ย่าจะเป็นคนสมัยก่อนแต่ก็รับฟังความคิดเห็นของเขาที่เป็นคนสมัยใหม่และคอยให้คำแนะนำเป็นอย่างดีเสมอ
มื้อค่ำ
“พ่อครับ แม่ครับ พรุ่งนี้ผมขออนุญาตพาน้องแพรมาเที่ยวบ้านเรานะครับ” เซิร์ฟเอ่ยขออนุญาตผู้เป็นพ่อและแม่ขณะที่ทุกคนทานอาหารเย็นเสร็จ
“หืม..รู้จักน้องเขาแค่สองวัน ชวนน้องเขามาบ้านแล้วเหรอลูก” ญาดาเอ่ยถามบุตรชายออกไปสายตาจับจ้องรอฟังคำตอบ
“จะพาน้องเขามา ขออนุญาตคุณลุงหรือยัง” วสินเอ่ยถามขึ้นเพราะกลัวลูกชายจะทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาผู้ใหญ่โดยไม่ขออนุญาตเสียก่อน
“เรียบร้อยครับ คุณลุงอนุญาตแล้วครับ”
“ลูกเราร้ายได้ใครคะคุณ รู้จักกันแค่สองวันพาสาวเข้าบ้านซะแล้ว” ญาดาเอ่ยแซวลูกชายไม่จริงจังนัก เรื่องต้อนรับแขกวันพรุ่งนี้กลายเป็นบทสนทนาหลักหลังมื้ออาหารไปเสียแล้ว
ตอนเช้า
“แม่ครับ ตอนเย็นแม่กวาดศาลาให้เซิร์ฟด้วยนะครับ เซิร์ฟจะพาน้องไปนั่งเล่นตรงนั้น” ชายหนุ่มตะโกนบอกมารดาที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบทำขนมที่ชายหนุ่มขอร้องอ้อนวอนให้คุณย่าช่วยทำให้เมื่อคืน
“จ้าลูก ตั้งใจเรียนด้วยนะ ไม่ใช่มัวแต่คิดถึงน้องจนไม่มีสมาธิเรียน” เสียงผู้เป็นแม่ตะโกนกลับมาจากด้านในครัวจนผู้เป็นพ่อได้ยินถึงกลับหลุดขำออกมา
“วันนี้จะให้พ่อพาไปรับน้องแพรไหม” วสินเอ่ยถามขึ้นเมื่อลูกชายขึ้นมานั่งตำแหน่งข้างคนขับและรัดเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว
“ผมขอโทรถามน้องก่อนนะครับ ว่าน้องไปเรียนหรือยังเมื่อวานไม่ได้บอกน้องไว้ว่าจะมารับ” เซิร์ฟรีบล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายขึ้นมากดต่อสายหาเบอร์ที่โชว์อยู่ล่าสุดทันที
ตู๊ด…..ตู๊ด…..เสียงโทรศัพท์ดังอยู่สองรอบเด็กสาวก็กดรับสาย
“ค่ะพี่เซิร์ฟ” เสียงหวานดังกลับมาตามสาย
“น้องแพรไปโรงเรียนหรือยังครับ” เสียงทุ้มอบอุ่นถามกลับไป
“ยังค่ะ แพรพึ่งทานข้าวเสร็จกำลังจะเดินออกไปขึ้นสองแถวค่ะ” เด็กสาวที่กำลังใส่ถุงเท้าอย่างเร่งรีบเพราะวันนี้เธอออกจากบ้านช้ากว่าทุกวันสิบนาทีแล้ว เพราะตื่นสายกลัวว่าจะไม่ทันรถประจำทางที่มีเที่ยวเดียวในรอบเช้า
“รอพี่อยู่ที่บ้านนั่นแหละครับ เดี๋ยวพี่เข้าไปรับ”
“สรุปว่าเข้าไปรับ” วสินถามออกไปเพราะหลังจากวางสายเสร็จชายหนุ่มก็เอาแต่นั่งยิ้มกับโทรศัพท์
“รับครับ ผมบอกให้น้องรออยู่ที่บ้าน” เมื่อขับรถมาถึงทางเข้าหมู่บ้านวสินเปิดไฟเลี้ยวและหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าหมู่บ้านที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“หลงน้องเขามาก ๆ ระวังเวลาที่ต้องแยกกันแล้วแกทำใจไม่ได้นะ” วสินพูดเตือนลูกชายเพราะนี่เป็นรักแรกของลูกชาย ชีวิตรักไม่ได้สวยงามทุกคู่แม้จะทุ่มเทมากเท่าใดจึงอยากให้ลูกชายเผื่อใจไว้บ้างเพราะอีกไม่นานชายหนุ่มต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย พอถึงตอนนั้นจริง ๆ อาจจะไม่มีเวลาว่างเลยก็ได้ ทั้งเรียนหนัก ทั้งระยะทางที่ห่างกัน บวกกับอาจจะเจอสังคมที่กว้างขึ้น กาลเวลาเปลี่ยนใจคนอาจจะเปลี่ยนตาม
“ผมรู้ครับ” เซิร์ฟตอบกลับผู้เป็นพ่อเสียงเบา สายตาดูเศร้าลงเล็กน้อยจากก่อนหน้า
“อีกไม่กี่เดือนแกก็ต้องสอบ GED แล้วถ้าถึงวันนั้นแกสอบผ่านก็ต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเลย แล้วแกกับน้องก็ต้องห่างกัน” ถึงไม่อยากพูดขัดความสุขของลูกแต่ก็จำเป็นที่จะต้องเตือนให้เตรียมใจไว้ก่อน พอถึงตอนนั้นจิตใจก็น่าจะเข้มแข็งพอที่จะจัดการความรู้สึกได้
“กรุงเทพฯ แค่นี้เอง เสาร์อาทิตย์หยุดผมกลับมาหาน้องได้” หนทางเดียวที่เซิร์ฟคิดไว้และมันคงเป็นทางที่ดีที่สุดเพราะถึงวันหนึ่งตัวเขาเองก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพื่ออนาคตที่ดีวันข้างหน้า
“แค่เรียนก็หนักแล้ว แกจะกลับมาทุกอาทิตย์ไหวเหรอ”
“ผมว่าผมจัดการได้ครับ เอาไว้ถึงเวลานั้นพ่อจะรู้เองว่าลูกพ่อไม่ได้เหลาะแหละ กรุงเทพฯ ก็แค่ปากซอย”
เด็กสาวในชุดนักเรียนม.ต้นยืนสะพายกระเป๋ายืนอยู่หน้าบ้าน ในมือหอบกระดาษปอนด์แผ่นใหญ่และฟิวเจอร์บอร์ดสำหรับพรีเซนต์งาน
“พี่ช่วยถือครับ” ทันทีที่รถจอดสนิทชายหนุ่มรีบเปิดประตูลงจากรถไปช่วยถือของ ก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกทางเพื่อวางของ
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณลุงสวัสดีค่ะ” เด็กสาวยกมือไหว้อย่างมีมารยาท
“สวัสดีจ้ะหนูแพร วันนี้หอบงานมาเยอะแยะเลยนะ อาจารย์สั่งงานเยอะเหรอลูก”
“ใช่ค่ะ พอดีครบกำหนดส่งงานวันนี้พร้อมกันก็เลยหอบของพะรุงพะรังไปหน่อยค่ะ”
“คุณย่าฝากคุกกี้มาให้ครับ เอาไว้ทานตอนบ่ายเผื่อน้องแพรหิว” คุกกี้ธัญพืชเพื่อสุขภาพที่บรรจุในโหลขนาดเล็กน่ารักพกพาสะดวกถูกส่งให้เด็กสาว
“ขอบคุณค่ะ”
ย้อนกลับไปเมื่อคืน
“เซิร์ฟทำอะไรลูก ดึกดื่นป่านนี้มาทำอะไรอยู่ในครัว”
“ทำคุกกี้ครับ” เซิร์ฟตอบผู้เป็นแม่ขณะที่มือยังง่วนอยู่กับการเรียงคุกกี้ใส่ถาดอบด้วยท่าทางจริงจัง สายตาก็จ้องอยู่ที่ตัวหนังสือที่สอนวิธีการทำจากอินเทอร์เน็ต
“ทำให้ใคร ปกติเราไม่ชอบทานคุกกี้ไม่ใช่เหรอ” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามขึ้นสีหน้าแปลกใจ มองคุกกี้ในถาดที่รอเอาเข้าเตาอบถูกปั้นใส่แม่พิมพ์เป็นรูปหมีน่ารัก
“ให้เพื่อนครับ พรุ่งนี้วันเกิดเพื่อนที่โรงเรียน” เซิร์ฟจำเป็นต้องโกหกผู้เป็นแม่ออกไปเพราะขืนบอกความจริงต้องโดนแซวแน่ ๆ ว่าหลงเด็กจนโงหัวไม่ขึ้น
“ปกติวันเกิดเพื่อนทุกปีแม่เห็นเราซื้อของให้มากกว่า ไหนปีนี้อยากทำคุ้กกี้ให้เป็นของขวัญ แล้วก็รีบเอาเข้าเตาอบมันดึกมากแล้วจะได้เข้านอนเดี๋ยวแม่เฝ้าต่อให้เอง” ญาดาส่ายหัวให้กับลูกชายก่อนจะเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นรินใส่แก้วแล้วเดินถือขึ้นกลับขึ้นไปด้านบน
“คุณวสินคะฉันเอาน้ำกับยามาให้แล้วค่ะ คุณทานยาแล้วนอนก่อนเลยนะฉันขอลงไปดูคุกกี้ให้ลูกก่อน” ญาดาเอ่ยบอกสามีและวางแก้วน้ำในมือลงโต๊ะข้างหัวเตียง
“คุกกี้อะไรคุณ” วสินถามกลับด้วยความสงสัยเมื่อแหงนมองดูนาฬิกาที่ฝาผนังบ่งบอกเวลาสี่ทุ่มสิบห้าซึ่งเลยเวลาเข้านอนของคนในบ้านมานานมากแล้ว
“ก็เจ้าลูกชายตัวดีของคุณน่ะสิคะ อยากจะทำคุกกี้ไปให้เพื่อนในวันเกิด ดึกป่านนี้พึ่งเอาเข้าเตาอบฉันเลยให้ขึ้นไปอาบน้ำนอนเดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นสายเอา ฉันที่เป็นแม่ที่ดีเลยต้องลงไปเฝ้าแทนนี่ไงคะ”
“คุณย่าตั้งใจทำมากเลยนะหนูแพร ดึก ๆ ดื่น ๆ ก็ไม่ยอมนอน” วสินพูดขึ้นขณะที่หางตาเหลือบมองหน้าลูกชายที่ตอนนี้แทบอยากจะด่าเขากลับ แต่ติดตรงที่ในรถไม่ได้มีเขาแค่สองคนพ่อลูกแต่มีเด็กสาวเจ้าของคุกกี้คนสำคัญนั่งอยู่ด้วยจึงทำได้แต่อดทนนั่งนิ่ง ๆ ต่อไป
“น้องแพรชั่งน้ำหนักไว้เลยนะลูกอีกไม่เกิน 1 เดือนลุงรับประกันว่าน้องแพรต้องน้ำหนักขึ้นแน่ ๆ เพราะคนที่บ้านลุงขยันทำขนมกันทุกคน”
“พี่เซิร์ฟก็ทำขนมเป็นด้วยเหรอคะ” แพรไหมถามกลับอย่างสงสัย
“น้องแพรลองชิมคุกกี้ดูสิลูก ว่าชอบหรือเปล่า” วสินพูดแทรกขึ้นขณะที่เซิร์ฟยังอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่
“อร่อยค่ะ อร่อยมาก”
“พี่เซิร์ฟเขาช่วยคุณย่าทำด้วยนะ ตั้งแต่ตวงแป้ง ตีแป้ง กดแม่พิมพ์ เรียงใส่ถาด และเอาเข้าเตาอบ”