ตอนที่ 3 พญามารยังไงก็เป็นพญามาร 1
หญิงสาวพยายามดีดดิ้นให้หลุดพ้น แต่ก็อย่างว่าแรงหญิงรึจะสู้แรงชาย ยิ่งไม่อยากเชื่อว่านี่หรือชายที่ตนรัก นี่หรือชายที่ตนเฝ้าคิดถึงทุกเวลาที่ห่างกัน นี้หรือบอกว่ารักกัน นี้หรือบอกว่าจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อเริ่มต้นใหม่ หากยังเป็นเช่นนี้ ไม่มีอีกแล้ว เธอจะหนี หนีไปให้พ้น หนีไปให้ไกลจากชายใจร้ายอย่างเขา ไม่อยู่ให้ต้องเจ็บปวด เสียน้ำตาเพราะเขามาตั้งกี่ครั้งแล้ว ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยมีวันใดที่จะยิ้ม หัวเราะ นอกจากความเสียใจที่ชายหนุ่มหยิบยื่นให้
ชายหนุ่มไม่สนใจว่ารัตนาจะยอมหรือไม่ยอม มีสิ่งเดียวที่ต้องการเวลานี้ คือต้องการผูกมัดคนร่างเล็กให้อยู่ในครอบครองของตน มันนานมากเหลือเกินที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวเช่นนี้ เมื่อฉุดกระชากมาถึงเตียงกว้าง พอลก็จัดการกับหญิงสาวทันที เหวี่ยงคนตัวเล็กลงไปบนเตียงกว้างพร้อมกับร่างกายของตนตามไปทาบทับ
“กรี๊ด!...ปล่อยต่อนะพี่พอล” หญิงสาวร้องด้วยเสียงสั่นเครือ
เขาไม่สนใจแม้แต่เสียงสั่งการของหญิงสาว มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นตอนนี้ที่น่าสนใจสำหรับเขา นั่นก็คือซอกคอระหงของหญิงสาว ชายหนุ่มซุกไซ้ตามลำคอระหงไปมาอย่างหิวกระหาย พร้อมกับฝากฝังร่องรอยเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของไว้ทุกที่ที่สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นลำคอ มายังเนินอกที่ตอนนี้ลิ้นร้อนๆ ปากหนาของพญามารกำลังไล่วนลากลิ้นเพื่อชิมความหวานของเนื้อนวล
“อื้อ!...ปะ...ปล่อย...” ตอนแรกหญิงสาวยังเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น แต่เวลานี้ทั้งครวญครางทั้งสะอื้นปะปนกัน
“ไม่ปล่อย พี่จะไม่ปล่อยน้องต่ออีกแล้ว ในชีวิตนี้พี่ขอมีเพียงน้องต่อคนเดียว เป็นของพี่เถอะนะ”
ชายหนุ่มผละออกมาเอ่ย ก่อนจะก้มลงไปซุกไซ้ลำคอระหงอีกครั้ง ส่วนมือทั้งสองข้างนั้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่หญิงสาวใส่ออกช้าๆ
“อื้อ!...ปะ...อุ๊บ!...” หญิงสาวเอ่ยยังไม่ทันจบชายหนุ่มก็ปิดปากของเธอเอาไว้ คำที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้กลืนหายเข้าไปในลำคอจนหมดสิ้น
ชายหนุ่มดุนดันลิ้นของตนเข้าไปในโพรงปากของหญิงสาว เพื่อจะช่วงชิมความหวานของปากอิ่มคู่นี้ ลิ้นของเขาและเธอกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างเมามัน มือหนานั้นคลึงเคล้นอกคู่งามอย่างถือโอกาส เมื่อเห็นว่าคนใต้ร่างนั้นเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว สังเกตได้จากตอนนี้มือที่เคยผลักไสก่อนหน้านี้ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นกอดรัดเขาแทน แถมร่างน้อยๆ ของรัตนาก็บิดเร้าครวญครางไพเราะเสียจริง
“อื้อ!...พี่ชอบเสียงของน้องต่อ...นานเหลือเกินที่พี่ไม่ได้ยินเสียงร้องหวานๆ แบบนี้จากคนที่พี่รัก...อืม...” ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกมาเอ่ยชมคนรักด้วยความสุข
“ต่อรักพี่พอล...รักมาตลอด...ไม่เคยมีสักครั้งที่จะลืมพี่พอล...” หญิงสาวบอกรักชายหนุ่มอย่างลืมตัว เมื่อไฟพิศวาสกำลังครอบงำ
“พี่ก็รักน้องต่อ...อาจจะรู้ตัวช้าไป แต่หัวใจของพอล เวย์เลอร์ คนนี้เป็นของคนคนนี้คนเดียวนะ” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับก้มลงจูบหญิงสาว เพื่อเป็นการยืนยันว่าคำที่เอ่ยมานั้นเป็นความจริง
“ฮือๆๆ...” หญิงสาวซึ้งใจพูดอะไรไม่ออกเลยปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง แต่ต่างจากตอนแรกนัก เพราะการร้องไห้ครั้งนี้คือการร้องไห้ให้กับคำบอกรักของชายหนุ่ม นั่นเพราะไม่คิดเลยว่าจะได้ยินมัน
ชายหนุ่มเริ่มทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง ความโกรธที่สงบลงก่อนหน้านี้กำลังจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เดาไม่ถูกว่าทำไมหญิงสาวต้องร้องไห้ทุกครั้งที่อยู่กับตน ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เป็นคำสารภาพรักของเขาแท้ๆ อารมณ์พิศวาสที่กำลังลุกได้ที่ก็ดับลงอย่างกับปิดไฟ
“ร้องไห้ทำไม พี่ยังไม่ได้ทำอะไรน้องต่อเลยนะ” ชายหนุ่มพลิกร่างลงไปนอนตะแคงถามคนตัวเล็กที่ตอนนี้เอามือขึ้นมาปิดหน้าร้องไห้ ยิ่งถามยิ่งร้องไห้ไม่หยุด
“ฮือๆ...กะ...ต่อ...ดีใจที่พี่พอลก็รักต่อ...ฮือๆๆ” หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น
“คนดีของพี่ อย่าร้องไห้นะ พี่รักน้องต่อ รักคนเดียว รักมานานแล้วด้วย หากน้องต่อไม่หนีพี่ไป ป่านนี้เราสองคนคงมีลูกด้วยกันไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร เราจะเริ่มต้นกันใหม่ ถึงแม้ว่าน้องต่อจะไม่เหมือนเดิมก็ตาม”
ชายหนุ่มเอ่ยปลอบพร้อมกับรั้งหญิงสาวเข้ามาสวมกอด สิ่งที่เขาว่าไม่เหมือนเดิมของเธอก็คือตอนนี้เธอมีลูกติดนั่นเอง แต่ในเมื่อเขาเลือกที่จะรักหญิงสาวแล้ว จะไม่สนใจอดีตทั้งนั้น ต่อจากนี้จะมีแต่อนาคตเท่านั้น
“อึก!...แต่พี่พอลใจร้าย...” หญิงสาวยังไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มจะปรับตัวได้จริงๆ ก็ดูจากก่อนหน้านี้ที่ฉุดกระชากเธอเข้ามาในห้องและพยายามจะข่มเหงเธอสิ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ขณะที่พอลกำลังจะเอ่ยก็มีเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะเสียก่อน
“ใครวะขัดจังหวะ คนกำลังจะเข้าใจกันเนี่ย” สบถด้วยความหงุดหงิด
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เมื่อเห็นว่าคนข้างในยังเงียบอยู่จึงเคาะเรียกอีกครั้ง
“ใครครับ” พอลเอ่ยถามทั้งๆ ที่ยังนอนกอดรัตนา
“นมหอมเองค่ะคุณพอล” เมื่อได้ยินคนข้างในถาม นมหอมจึงตอบกลับไป
“ตายแล้ว!...ต่อลืมพอลี่เลย”
หญิงสาวผลักพอลออกห่างพร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะวิ่งไปเปิดประตู เพราะรู้แล้วว่านมหอมมาเคาะห้องทำไม สงสัยจะเป็นเพราะลูกเธอแน่ๆ และมันก็จริงอย่างที่คิด เมื่อเปิดประตูออก ก็พบกับหน้ากลมๆ ของลูกสาวสุดที่รักของตน
“ฮือๆ...หม่ามี๊...”
พอลี่โผเข้าหาผู้เป็นแม่ทันทีทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หยุดร้องไห้แล้ว รัตนาก็รีบอุ้มลูกสาวสุดที่รักทันทีเช่นกัน
พอลเมื่อตั้งท่าได้ก็ลุกเดินตามมาสมทบกับรัตนา ‘ยัยเด็กบ้านี้ มารความสุขจริงๆ ถ้าเป็นลูกฉันจะตีให้ก้นลายเลย หึ...’ พอลบ่นอุบในใจ
“ไม่ร้องๆ นะพอลี่ มี๊เตร่าอยู่นี่แล้ว เราจะไปหาพี่เซนกันนะคะวันนี้” เมื่อได้ยินว่าจะได้ไปเจอใคร แม่หนูน้อยพอลี่ก็หยุดร้องไห้ทันที
“หม่ามี๊จาพาพอลี่ไปหาพี่เซนเหรอคะ เย้! พอลี่คิดถึงป้าอ้อ ลุงไบรอันมากๆ เลย” เอ่ยด้วยความตื่นเต้น ไม่หลงเหลือหนูน้อยขี้แยก่อนหน้านี้เลย
“ไม่ให้ไป ก็เราคุยกันแล้วไงว่าจะไปทำงานกับพี่วันนี้ แถมน้องต่อยังเป็นเลขาของพี่อีกนะ” พอลเอ่ยขึ้นทันที
“พี่ไม่มีสิทธิ์มาสั่งต่อ อย่าคิดนะว่าที่เราพูดกันในห้องนั้นต่อพูดจริง...หึๆ มันเป็นแค่มารยาหญิงเท่านั้นค่ะ” รัตนาเอ่ย
“หมายความว่าไง?” ไม่ชอบเลยเวลาที่รัตนาพูดแบบนี้กับเขา ทำไมเธอช่างเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ ผู้หญิงที่เคยเชื่อฟังเขาคนนั้นหายไปไหนกันนะ
“ก็หมายความอย่างที่พูด ไปกันพอลี่เดี๋ยวพี่เซนของพอลี่จะรอนาน” เอ่ยจบก็อุ้มลูกสาวเดินกลับเข้าไปในห้อง ไปเอากระเป๋าเงิน ก่อนจะเดินผ่านหน้าพอลออกไป
หนูน้อยพอลี่ที่อยู่ในอ้อมอกแม่ หันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ชายหนุ่มเมื่อคิดว่าตัวเองชนะแล้ว
“หน็อย!...ยัยเด็กเปรต!...” พอลสบถว่าหนูน้อยด้วยความเจ็บใจ “ฝากไว้ก่อนเถอะ อย่านึกว่ามี๊ของเธอจะปกป้องเธอได้นะ” เจ็บใจที่โดนเด็กแลบลิ้นปลิ้นตาเยาะเย้ย
“คุณพอลอย่าว่าหนูพอลี่แบบนั้นสิคะ คุณพอลดูไม่ออกจริงๆ เหรอคะว่าพอลี่เหมือนใคร” นมหอมที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือตนกับชายหนุ่มตามลำพัง
“จะเหมือนใครซะอีกนม ก็คงเหมือนพ่อมันนั่นแหละ พ่อของยัยพอลี่ก็คงจะเลวใช้ได้เลย ถึงทิ้งลูกเมียแบบนี้” เมื่อพูดจบก็เดินจากไป โดยไม่สนใจเลยว่านมหอมจะพูดอะไรกับตนต่อ
“คุณพอลจะไปไหนคะ” นมหอมร้องถาม
“ไปทำงานครับนม” หยุดและหันมาตอบคำถาม ก่อนจะเดินจากไปอีกครั้ง
นมหอมยิ้มตามหลังชายหนุ่มด้วยความตลก...หึๆ ไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มจะดูไม่ออกว่าพอลี่นั้นนิสัยเหมือนตน แถมยังหน้าตาอย่างกับพิมพ์เดียวกัน เป็นใครใครก็ดูออกว่าสองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน มีแต่เจ้าตัวนั่นแหละไม่รู้เรื่องอะไรเลย แถมรู้สึกจะเกลียดลูกในไส้ของตนเสียด้วย ไม่ใช่แค่ผู้เป็นพ่อที่เกลียด ลูกสาวตัวแสบก็เกลียดพ่อตัวเองเช่นกัน...หึๆ งานนี้สนุกแน่
“คุณพอลของนมเอ๊ย!...ลูกตัวเองแท้ๆ ยังคิดจะหาเรื่องแกล้งอีก” นมหอมเอ่ยเพียงลำพัง
บ่ายวันนี้ที่ร้านอาหารหรูในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มีสองครอบครัวกำลังนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานม จะเรียกได้ว่าคุยกันให้หายคิดถึงเลยก็ว่าได้ ก็เกือบเดือนที่ทั้งสองครอบครัวไม่ได้เจอกัน และวันนี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ไหนจะเรื่องของลูกๆ พวกเขาอีก เพราะย้ายมาอยู่เมืองไทยแบบกะทันหันเลยทำให้ทุกอย่างวุ่นวายไปนิด แต่ก็ไม่มีอะไรที่จัดการไม่ได้สำหรับพวกเขา
ไบรอันพาเด็กๆ ไปเดินซื้อของเล่น โดยปล่อยให้ภรรยากับเพื่อนรักนั่งคุยกันในร้านอาหารรอ และไม่นานไบรอันก็พาหนูน้อยจอมป่วนทั้งสองกลับมา หนูเซนนั้นได้รถบังคับติดมือกลับมา ส่วนหนูน้อยพอลี่นั้นได้ตุ๊กตาหมีตัวโตกลับมา
“มัมก๊าบ!...เซนได้นี้ตวยก๊าบ!...แด๊ดจื้อห่าย...” เซนวิ่งพร้อมกับอุ้มกล่องรถบังคับไปหาแม่ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร
“มี๊เตร่าขา...พอลี่ก็ได้หมีตัวใหญ่...ลุงไบรอันซื้อให้ค่า...” พอลี่ก็ด้วยเช่นกัน อุ้มตุ๊กตาหมีไปนั่งบนตักแม่
“พี่ไบรอันซื้อให้เซนอีกแล้วนะคะ อ้อบอกแล้วว่าอย่าซื้อให้ ก่อนจะเดินทางมาก็ซื้อไปแล้วนะคะหนึ่งคัน แล้วนี่อะไรอีก เล่นยังไม่ทันได้เก่าก็ซื้อใหม่แล้ว อ้อล่ะปวดหัวกับพี่และลูกจริงๆ เลยค่ะ”
ดอกอ้อดุสามีต่อหน้าเพื่อน ซึ่งเป็นแบบนี้ประจำของหญิงสาวกับสามี จนรัตนาเริ่มชินเสียแล้ว เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่นัดทานข้าวกัน สองสามีภรรยาคู่นี้จะไม่ดุกัน ส่วนมากเรื่องก็มักจะเกิดจากลูกชายตัวป่วนของทั้งสองนั่นเอง
“อ้อ...เธอน่าจะเลิกดุพี่ไบรอันได้แล้วนะ ไม่เบื่อบ้างเหรอ พี่ไบรอันก็อีกคน อ้อว่าให้ก็ยังจะนั่งยิ้มอีก เหมือนกับดีใจอย่างงั้นแหละค่ะที่โดนว่า”
รัตนาเอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อมองเห็นสามีเพื่อนยังนั่งยิ้มหน้าบาน เหมือนกับว่าคำที่เพื่อนของเธอว่าก่อนหน้านั้นเป็นคำบอกรักอย่างนั้นแหละ
“มัมดุแด๊ดเพราะมัมรักแด๊ดมากก๊าบ...น้าเตร่า” ยังไม่มีใครได้ตอบ หนูเซนก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“พูดถูกใจแด๊ดที่สุด อยากได้อะไรสุดป่วน” ไบรอันเอ่ยชมลูกชายของตน
“เอาอีกแล้วนะพี่ไบรอัน เซนก็เหมือนกัน อยู่เงียบๆ เหมือนน้องบ้างเถอะ” ดอกอ้อเอ่ย
“พอลี่เป็นเด็กดี พอลี่นั่งฟาง...อย่างเดียวค่า...” เมื่อมีคนชม หนูน้อยพอลี่เลยอยากนั่งเงียบๆ บ้าง
“ฮ่าๆ หลานลุงน่ารักจริงๆ แล้วไปอยู่กับแด๊ดดี้เป็นไงบ้าง แด๊ดดี้ใจดีไหมคะ” ไบรอันถามหนูน้อยพอลี่
“พี่ไบรอันอย่าพูดถึงเรื่องนี้ให้ต่ออารมณ์เสียสิคะ” ดอกอ้อเห็นหน้าเพื่อนดูซีดไปเลยห้ามปรามสามี
“ไม่เป็นไรหรอกอ้อ ต่อโอเค ถึงมันจะโอเคยากก็เถอะ แต่จะพยายาม” รัตนาเอ่ย
“พอลี่ยังไม่มีแด๊ดดี้นะลุงไบรอัน แด๊ดดี้ของพอลี่จะต้องเปน...ลุงเค...ค่า...” หนูน้อยเอ่ยอย่างซื่อๆ
“น่าน...จิแด๊ด...พอลี่ยังไม่มีแด๊ดเหมือนเซนเลย ถ้ามีเซนก็ต้องได้กราบแล้วก๊าบ!...” เซนตัวแสบเอ่ยขึ้น
“ตาเซนเงียบก่อนได้ไหมลูก” ดอกอ้อดุลูกชายบ้าง “ต่อ...เธอยังไม่บอกพี่พอลใช่ไหมว่าพอลี่เป็นลูกของเขากับเธอ แล้วทำไมพอลี่ไม่ยอมรับพี่พอลเป็นพ่อ แต่อยากได้เคเป็นพ่อ อธิบายมาเลยนะ”
“นั่นสิน้องต่อ” ไบรอันเอ่ยเสริมภรรยาอีกคน
“พี่พอลยังไม่รู้ และจะไม่มีวันรู้ด้วย พอลี่เป็นลูกเราคนเดียว ส่วนเคนั้นพอลี่คงชอบมั้งเลยอยากได้เป็นพ่อ ก็ตั้งแต่เกิดพอลี่สนิทแค่พ่อฉัน พี่ไบรอัน แล้วก็เค ก็อาจมีบ้างที่อยากได้เคเป็นพ่อ” รัตนาเอ่ย
ตอนนี้พอลี่ได้แต่มองหน้าแม่ที มองหน้าดอกอ้อและก็ไบรอันสลับกันไปมา ถึงจะฟังรู้เรื่อง แต่ก็ไม่รู้ความว่าผู้ใหญ่กำลังคุยอะไรกันอยู่ หนูน้อยรู้แต่ว่าในบทสนทนานั้นมีตัวเองอยู่ด้วย เมื่อฟังไม่เข้าใจหนูน้อยจึงชวนเซนไปเดินเล่นอย่างเงียบๆ
รัตนา ดอกอ้อ และไบรอันมัวแต่คุยกันจนลืมสังเกตว่าตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองนั้นได้หายไปไหนแล้วไม่รู้ กว่าจะมารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่รัตนาขยับตัว ถึงรู้ว่าบนตักตนไม่มีพอลี่นั่งอยู่อีกแล้ว
“อ้อ พี่ไบรอัน เด็กๆ หายไปไหนคะ”
“เซนก็นั่งข้างๆ พี่ไงต่อ” ไบรอันเอ่ยพลางมองข้างกาย แต่กลับว่างเปล่า
“ไม่มีค่ะพี่ไบรอัน” ดอกอ้อเอ่ยเสริม “พอลี่ก็หายไปด้วยค่ะ”
“ทำไมต่อไม่รู้สึกตัวเลยว่าพอลี่ลงจากตักต่อไปตอนไหน...ฮือๆๆ พอลี่ลูกแม่ หายไปไหน” เมื่อคิดว่าลูกหายตัวไปก็ร้องไห้ออกมาทันที
“อย่าร้องต่ออย่าร้อง เราไปตามหาเด็กๆ กันเถอะ พี่ไบรอันไปฝ่ายประชาสัมพันธ์ของห้างนะคะ เดี๋ยวอ้อกับต่อจะตามหาเด็กๆ เองค่ะ”
ดอกอ้อเอ่ยจัดแจงทุกอย่าง ก็ดูได้จากตอนนี้รัตนาคงคิดอะไรไม่ออกแล้ว นอกจากร้องไห้อย่างเดียว ด้วยความรู้จักรัตนาดีจึงรู้ว่าเป็นคนเจ้าน้ำตาแค่ไหน นิดๆ หน่อยๆ เพื่อนเธอคนนี้ก็จะร้องไห้เสมอ ดีใจ เสียใจ ร้องไห้หมด
“โอเคที่รัก” เมื่อรับคำแล้วไบรอันก็รีบวิ่งออกจากร้านอาหาร โดยปล่อยให้ดอกอ้อกับรัตนาจัดการกับค่าอาหารกลางวันมื้อนี้
“ต่อหยุดร้องก่อนนะ เรารีบไปถามเด็กในร้านกันดีกว่าว่าเห็นเซนกับพอลี่เดินไปทางไหน เช็ดน้ำตาก่อนต่อ” ดอกอ้อเดินมายื่นผ้าเช็ดหน้าให้เพื่อนพร้อมกับพูดเตือนให้สติ
“ฮือๆ อึก!...เราไม่ร้องแล้วไม่ร้องแล้ว อ้อไปจัดการค่าอาหารบนโต๊ะเถอะ เดี๋ยวต่อไปถามเด็กหน้าร้านเองว่าเห็นเด็กๆ ไหม อึก!...” เอ่ยพร้อมกับเช็ดคราบน้ำตา
“เราไปจ่ายค่าอาหารก่อนนะ ส่วนต่อก็ไปถามเด็กนะ แล้วรอเราอยู่ที่หน้าร้านอาหารนะ”
เอ่ยจบดอกอ้อก็รีบไปทำตามที่พูดทันที ส่วนรัตนาเมื่อจัดการกับคราบน้ำตาเสร็จ ก็สะพายกระเป๋าไปถามพนักงานต้อนรับที่หน้าร้านว่าเห็นเด็กลูกครึ่งชายหญิงเดินออกมาทางหน้าร้านไหม และเดินไปทางไหน เมื่อรู้ว่าไปทางไหน รัตนาก็รีบวิ่งไปยังทิศทางนั้นทันที โดยไม่รอว่าดอกอ้อจะจัดการธุระเสร็จหรือไม่เสร็จ เพราะตอนนี้หญิงสาวนั้นเป็นห่วงลูกและหลานชายเหลือเกิน
ด้านหนูน้อยทั้งสองไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วง เดินจูงมือกันเดินดูของเล่นไปเรื่อยๆ อย่างสนุก ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่คิดถึงเรื่องอันตราย ก็อย่างว่าเด็กยังไงก็คือเด็ก หากยังโตพอดูแลตัวเองยังไม่ได้ยังไงก็ยังเป็นภาระของพ่อแม่อยู่เสมอ
“พี่เซน พอลี่อยากไปดูน้องหมีค่า” หนูน้อยพอลี่ชี้มือไปยังร้านขายตุ๊กตา
“พี่เซนพาไปก๊าบ” เอ่ยจบก็จูงมือหนูน้อยเดินไปทันที พอเดินมาถึงทั้งสองก็ดูตุ๊กตาตัวนั้นที ตัวนี้ทีอย่างสนุกสนาน
“พี่เซนเบื่อตรงนี้แย้ว...เราปาย...ร้านไอติมกัน” เซนชี้มือไปยังร้านขายไอศกรีมที่อยู่หน้าร้านขายตุ๊กตา
“ไปกินติมกาน...” หนูน้อยพอลี่ก็เห็นด้วยกับหนุ่มน้อย แล้วทั้งสองก็เดินไปยังร้านขายไอศกรีม
อีกมุมหนึ่งในร้านอาหารที่อยู่ถัดจากร้านไอศกรีมไป ชายหนุ่มกำลังนั่งคุยงานกับลูกค้า แต่พอมองออกมานอกร้านที่เป็นกระจกก็เห็นเด็กสองคนยืนอยู่หน้าร้านไอศกรีม ชายหนุ่มสังเกตอยู่นานว่าเด็กผู้หญิงตัวอ้วนกลมนั้นใช่พอลี่รึเปล่า และก็มองอยู่นาน เมื่อเริ่มมั่นใจแล้วว่าใช่ก็เลยขอตัวกับลูกค้ามาหาหนูน้อยทันที ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังเดินมานั้นก็ได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์ประกาศหาพอลี่กับหนุ่มน้อยอีกคนพอดี
“ยัยเด็กแสบน่าจะหายตัวไปเลย หืม...แล้วทำไมเราต้องเป็นห่วงเด็กบ้านี้ด้วยนี่ ขนาดพ่อแท้ๆ ยังทิ้งเลย”
ชายหนุ่มสบถด่าพ่อของหนูน้อยขณะเดินมาหาด้วยความเป็นห่วง
หนูน้อยทั้งสองได้แต่ยืนจ้องมองพนักงานขายไอศกรีมด้วยความน่าสงสาร ตอนแรกมาถึงหนูน้อยทั้งสองสั่งไอศกรีมรสช็อกโกแลต แต่พอพนักงานถามหาเงินเท่านั้นแหละ หนูน้อยทั้งสองก็ส่ายหัวไปมาว่าไม่มี จึงเป็นเหตุให้หนูน้อยทั้งสองได้แต่จ้องมองพนักงานขาย
“พอลี่อยากกินค่าพี่เซน” หนูน้อยเอ่ยเสียงเศร้า
“เรากาบไปหาแด๊ดกับมันกันดีกว่า...”
“เราจาปาย...ทางหนาย...คะ...” พอลี่เอ่ยด้วยความมึนงง เมื่อมองไปรอบๆ ก็มีแต่ผู้คน แถมเป็นสถานที่ไม่คุ้นเคยด้วย
“พี่เซนก็ม่าย...รุ...” เซนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลับไปทางไหน