ปฐมบท2 รักเจ้า ถนอมนาง2
เหตุเพราะการร่วมรักตลอดสองเดือนในการเดินทาง ทำให้สตรีผู้หนึ่งตั้งครรภ์อย่างไร้ข้อกังขา
ซ่งเสวียนชิงให้รู้สึกปวดร้าวร้อนผ่าวทั่วกระบอกตา ทั้งศีรษะปวดหนึบ ครุ่นคิดถึงหนทางแก้ปัญหาตลอดเวลา อาจเพราะความมักง่ายหรืออารมณ์ลุ่มหลงความใคร่พาไปกระทั่งทำคนตื้นเขินก็สุดรู้ ภายใต้สีหน้าเคร่งขรึมเครียดจัดเขาตัดสินใจพาจูซิ่วเข้าจวนในที่สุด
โม่เหลียน ภรรยาหนึ่งเดียวของซ่งเสวียนชิง พาลูกๆ ทั้งสองมายืนรอที่หน้าประตูจวนเหมือนเช่นทุกครา
สีหน้ากลัดกลุ้มของซ่งเสวียนชิงจำต้องมลายหายไป ต่อหน้าโม่เหลียนสตรีที่เขาหวงแหน ผู้ที่เขาบ่มเพาะความรักมานานมากกว่าสิบปี ซ่งเสวียนชิงไม่มีทางทำให้นางแคลงใจในสัมพันธ์ที่มีมาแต่เยาว์วัยแน่นอน
ชายหนุ่มตรงเข้ามาประคองหญิงสาวอันเป็นที่รักไว้ในอ้อมแขนอย่างหวงแหน
“เจ้าไม่จำเป็นต้องตากลมหนาวยืนรอข้าเช่นนี้”
ซ่งเสวียนชิงกล่าวเสียงอ่อนโยน แววตาเผยเพียงความห่วงใยต่อภรรยา ทั้งรักใคร่ทั้งโหยหาเหนืออื่นใด
“ท่านพี่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
กล่าวพลางไล่มองสำรวจพวกพ้องทั้งหลายที่บางคนมีสภาพบาดเจ็บหลายคนมีท่าทางอิดโรย หญิงสาวหันไปสั่งบ่าวรับใช้ให้ไปตามท่านหมอมา ก่อนหันมากล่าวกับสามีว่า “ท่านพี่มาเหนื่อยๆ เข้าไปดื่มน้ำแกงอุ่นบำรุงกระเพาะก่อน ข้าจะดูแลพวกเขาอย่างดี ท่านพี่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ”
จังหวะนั้นโม่เหลียนพลันเหลือบเห็นสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ในกลุ่มลูกน้องของสามี
“ท่านพี่ คุณหนูผู้นี้คือ...”
ซ่งเสวียนชิงใจกระตุกแต่ยังคงรักษาสีหน้าสุขุมไว้
“นางผู้นี้คือคนที่เหลือรอดจากครอบครัวผู้ว่าจ้าง”
“ข้ามีนามว่าจูซิ่วเจ้าค่ะ”
สาวน้อยแนะนำตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในดวงตางามมีม่านน้ำเอ่อคลอ ท่าทางน่าเวทนานัก
โม่เหลียนจูงมือบุตรสาวทั้งสองให้ไปนั่งลงที่เก้าอี้ ก่อนหันมองหน้าสามี เห็นท่าทีปกติจึงไม่สงสัย
ชายหนุ่มไม่เผยท่าทีหรือเอ่ยสิ่งใดมากต่อหน้าภรรยา เพราะรู้ดีว่าขณะนี้มีบาดแผลฉกรรจ์ของชีวิตคู่ต้องปิดซ่อน เขายิ้มกล่าว “แม่นางผู้นี้เหลือตัวคนเดียว ทั้งกำลังตั้งครรภ์ ฮูหยินช่วยรับนางไว้ได้หรือไม่?”
เด็กสาวสูญเสียครอบครัวด้วยเภทภัยจากพายุหิมะ แน่นอนว่าคงเสียสามีจากเหตุการณ์นั้น
โม่เหลียนจึงพยักหน้ายิ้มรับ ตรงเข้ามาประคองจูซิ่ว
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าดุจน้องสาว”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ฮูหยิน”
“ต่อไปเรียกข้าว่าพี่โม่เหลียนก็ได้”
จูซิ่วช้อนตามองซ่งเสวียนชิง เขาสบสายตากลับ รอยยิ้มกดลึกตรงมุมปาก “ทำตามฮูหยินว่าเถอะ”
เด็กสาวกะพริบขนตาที่เปียกชื้น เรียกอย่างขวยเขิน “พี่โม่เหลียน...”
ซ่งเสวียนชิงใช้เวลาเดินทางนานถึงสามเดือน กว่าจะกลับเข้าจวน เขาจึงใช้เวลาร่วมกับภรรยาทั้งราตรี บอกรักนางซ้ำๆ ทั้งค่ำคืน
โม่เหลียนนอนซุกอยู่ในอ้อมอกเปลือยเปล่าชื้นเหงื่อ “ใกล้สว่างแล้ว ท่านพี่ปล่อยข้าได้แล้วเจ้าค่ะ”
นอกจากไม่ปล่อย ซ่งเสวียนชิงยังกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น “ไม่เจอกันหลายเดือน สามีคิดถึงมากรู้หรือไม่?”
คนถูกบอกรักเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยวาจา
ซ่งเสวียนชิงก้มหน้าจุมพิตหน้าผากมนภรรยาเบาๆ “เหลียนเอ๋อร์ ข้ารักเจ้า รักสุดใจ...”
ชายหนุ่มบอกซ้ำๆ เน้นย้ำให้นางในอ้อมกอดมั่นใจ หวังเพียงให้ปัญหาที่ซ่อนไว้ยังคงเป็นความลับตลอดไป
นับแต่ซ่งเสวียนชิงพาจูซิ่วเข้าเรือนในจวนซ่ง เขาไม่เคยย่างกรายมาหาเลยนางสักครา
นอกจากงานหลักเกี่ยวกับการดูแลสำนักคุ้มภัย เวลาทั้งหมดเขาล้วนมอบให้โม่เหลียนผู้เป็นภรรยา
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าไร้ระลอกคลื่น จูซิ่วที่เห็นสามีอย่างซ่งเสวียนชิงรักใคร่กลมเกลียวภรรยาเอกของเขาโดยไม่เหลียวแลนางที่อยู่ตรงนี้ ก็ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนัก คืนหนึ่ง นางจึงทำใจกล้าลอบเข้าหาเขาในห้องหนังสือ
ซ่งเสวียนชิงกำลังนั่งสะสางงานอยู่หลังโต๊ะคนเดียว คาดว่าโม่เหลียนคงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในเรือนหลัก
“ท่านพี่ซ่ง” จูซิ่วเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน
เจ้าของนามเงยหน้ามองอย่างตกใจ เขารีบลุกขึ้น “จูซิ่ว เจ้าเข้ามาทำไม?”
หญิงสาวรีบเดินเข้าไปหาเขา เอื้อมมืออย่างโหยหา
“ข้า...”
เนื้อตัวของนางสั่นเทา ใบหน้าฉาบทับด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งคิดถึง ทั้งน้อยใจและรักใคร่ลึกซึ้ง
อากัปกิริยาของนางหลอมรวมเข้าด้วยกันจนทำให้คนมองอดมิได้ที่จะรู้สึกสงสารเห็นใจขึ้นมา
ใบหน้าซ่งเสวียนชิงจากตื่นตระหนกในคราแรก บัดนี้กลับประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เขารับมือนางที่ยื่นมาหากุมไว้ ต่อว่าไม่จริงจังนัก “เจ้าไม่ควรมาหาข้าเช่นนี้”
จูซิ่วก้มหน้าหลุบตากัดริมฝีปากอย่างน่าสงสาร “ข้าแค่อยากเห็นหน้าท่านให้ชัดเจนสักครั้ง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ข้าทำได้เพียงแอบมองไกลๆ ข้า...ข้าอยากใกล้ชิดท่าน ข้าคิดถึงท่าน...คิดถึงเหลือเกินเจ้าค่ะ”
วาจานางทำหัวใจบุรุษอ่อนยวบหวั่นไหว
“เจ้ารู้ดีว่าข้าทำเช่นนั้นมิได้” ชายหนุ่มปลอบโยน “รอเจ้าคลอดก่อน ข้าค่อยพาออกไปหาเรือนลับอยู่ข้างนอก ถึงเวลานั้นยามข้าไปหาเจ้าเราคงได้ใกล้ชิดกัน ดีไหม?”
จูซิ่วยามนี้น่าเป็นห่วงเพราะตั้งครรภ์ ซ่งเสวียนชิงจึงยังไม่ปล่อยให้นางออกไปอยู่ข้างนอกตามลำพัง จำต้องให้อยู่หลังเรือนในจวนซ่งไปก่อน
หญิงสาวพยักหน้าเชื่อฟัง เผยท่าทีน่าเอ็นดูที่สุด นางเงยหน้าขึ้น ใช้ดวงตาคล้ายผลซิ่งที่แวววาวด้วยหยดน้ำ สื่อนัยเว้าวอนขับให้ดูออดอ้อนมากขึ้นสบสายตาหงส์คมเข้ม
“ท่านพี่ซ่ง ท่าน...เห็นใจข้าสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ”
นางคิดถึงเขาจนนอนไม่หลับเลยสักราตรี
จูซิ่วแสดงสีหน้าชัดเจนว่าอยากได้รับสัมผัสลึกซึ้ง นางปรารถนาจุมพิตหวานละมุนอบอุ่นจากชายผู้เป็นสามี ชายหนุ่มจึงยกนิ้วเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอให้นางอย่างอ่อนโยน ก่อนก้มลงจรดริมฝีปากแตะแต้มคนงามอย่างเอาอกเอาใจ การจูบเกิดขึ้นเนิ่นนาน แผ่ซ่านความหวามไหวทั่วร่างกาย
เพลิงราคะค่อยๆ มอดไหม้สติสัมปชัญญะจนสิ้น อารมณ์หวามลามเลียโหมกระพือทำไฟปรารถนาลุกโชน โดยมีร่างกายส่วนล่างเป็นตัวนำพาเหนือสมองด้านไตร่ตรองผิดชอบชั่วดี
จากลูบไล้แผ่วเบาคลอเคลียเนิบนาบเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเร่งจังหวะเร่าร้อน รสสัมผัสหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
และจบลงที่การร่วมรักอันรัญจวนตามไฟราคะร้อนแรงที่ลุกโชนตรงตั่งตัวยาวในห้องหนังสือ
เพราะต้องทำอย่างระมัดระวังมิให้กระทบกระเทือนเด็กในครรภ์ การสอดใส่เสียดสีจึงใช้เวลาอยู่นานพอสมควร เนื่องจากต้องรักษาจังหวะเนิบนาบละมุนละไมอย่างดี พวกเขาทำเช่นนี้อีกหลายครั้งที่ห้องหนังสือยามราตรี
มนุษย์เรา กระทำการผ่าเผยนำมาซึ่งความภาคภูมิใจก็จริง แต่การทำสิ่งลักลอบเช่นนี้ทำคนรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจสิ้นดี
วันชื่นคืนสุขของครอบครัวซ่งยังคงหมุนเวียน
ทุกวันซ่งเสวียนชิงยังคงทำตัวปกติไม่ผิดไปจากเดิม เขามักทำตัวติดภรรยา ดูแลเอาใจใส่กันและกันสม่ำเสมอ ร่วมมื้ออาหารพร้อมหน้าพร้อมตากับบุตรสาวทั้งสองตลอด ออกไปทำงานที่สำนักคุ้มภัยไม่ขาดตกบกพร่อง
ครอบครัวรักใคร่ปรองดองไม่ต่างจากที่เป็นเสมอมา
ทว่ามิรู้เพราะเหตุใด กลับมีสัญชาตญาณบางอย่าง รบกวนจิตใจโม่เหลียนตลอดเวลา บางสิ่งที่รบกวนจิตใจนี้เกิดขึ้นในทุกคราที่นางคอยดูแลสตรีผู้หนึ่งซึ่งกำลังตั้งครรภ์
วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อจูซิ่วเอ่ยปากขอร้องระหว่างที่นางพาอีกฝ่ายเดินเล่นว่า “พี่โม่เหลียน หากข้าคลอดลูกแล้วพี่โม่เหลียนช่วยรับเป็นบุตรบุญธรรมได้หรือไม่เจ้าคะ?”
โม่เหลียนมุ่นคิ้ว “เจ้าเป็นมารดา เหตุใดเอ่ยปากมอบบุตรให้ผู้อื่นโดยง่าย”
จูซิ่วยิ้มขื่น “ข้าเหลือตัวคนเดียว มิรู้ว่าจะเอาตัวรอดได้จนถึงเมื่อไหร่ หากบุตรของข้ามีพี่โม่เหลียนเป็นมารดาย่อมดีกว่า”
“หากข้ารับไว้ แล้วเจ้าเล่า?”
“ข้าจะขอมองดูเขาเติบโตอยู่เงียบๆ เจ้าค่ะ เขาต้องเข้าใจในความจำเป็นของข้าแน่นอน”
จูซิ่วมองคู่สนทนาอย่างอ้อนวอน สายตาจริงใจ
โม่เหลียนพยักหน้า “ข้ายังต้องปรึกษาท่านพี่ก่อน หากเขาเห็นชอบคงรับเป็นลูกบุญธรรมโดยสมบูรณ์ ข้าหวังเพียงเจ้าไตร่ตรองอย่างดีแล้วจริงๆ”
จูซิ่วเม้มปากยิ้มกล่าว “ตัวข้าเป็นสตรีไม่เอาไหน คงไม่อาจเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่เพียงลำพังได้เจ้าค่ะ”
เมื่อภรรยารับเป็นมารดา สามีย่อมรับเป็นบิดาอย่างเปิดเผยมิอาจเลี่ยง แม้สายเลือดแท้จริงจะถูกเก็บงำเป็นความลับสืบไปก็ตาม
ประโยคหลังจูซิ่วมิได้เอ่ย นางเพียงกล่าวอีกว่า“ขอบคุณพี่โม่เหลียนมากเจ้าค่ะ”
โม่เหลียนมองหน้าจูซิ่วนิ่งๆ ค้นหาบางสิ่งที่ซุกซ่อนอย่างเงียบงัน
จูซิ่วเองก็มองโม่เหลียนเช่นกัน ก้นบึ้งในแววตานั้นคล้ายหยั่งเชิงกันและกันเงียบๆ
กับซ่งเสวียนชิง จูซิ่ววางหมากเดิมพันชีวิตจนหมด ทั้งร่างกายและจิตใจ เรือนร่างทุกอณูนางให้เขาไม่มีเหลือ เลือดเนื้อเชื้อไขของเขายังอยู่ในร่างนางอย่างมิอาจปฏิเสธได้
เพียงแต่เขารักภรรยามากเกินไป
ต่อให้เขาเป็นบุรุษที่มีความรับผิดชอบสูงส่งแค่ไหน ขอเพียงเป็นเรื่องของภรรยา เขากลับไม่กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในบางสิ่ง ซึ่งสิ่งนั้นก็คือการรับนางเป็นภรรยาอีกคนอย่างเปิดเผย
สองเดือนที่แล้ว นางพลีกายให้เขา ไม่คำนึงถึงสิ่งใด
เพื่อได้อยู่ข้างกายเขานางละทิ้งศีลธรรมจนสิ้น
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ เขากลับไม่กล้ารับนางเป็นอนุ คิดจะบอกปัดโดยให้นางลืมเรื่องค่ำคืนวสันต์ นางจึงเสนอเป็นสตรีนอกเรือนซึ่งนับว่ามาถูกทาง เขารับข้อเสนอนั้น ท้ายที่สุดนางถึงขั้นปล่อยตัวให้ตนเองตั้งครรภ์
การมีลูกของเขาอยู่ในท้องจะอย่างไรต้องได้เข้าจวน ไม่มีทางเป็นแค่สตรีนอกเรือนไร้ฐานะอย่างที่กล่าวอ้างเพื่อสานสัมพันธ์เมื่อแรกเริ่ม
ทว่าซ่งเสวียนชิงกลับโกหกภรรยาว่าสามีของนางตายภายใต้กองหิมะ!
แล้วเช่นนี้นางยังจะได้ฐานะอันใดในจวนซ่ง?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จูซิ่วพลันยิ้มขื่นในใจ
ต่อให้สิ้นครอบครัวไม่เหลือใคร นางไม่มีทางลดตัวขายตนเองเป็นสาวใช้เด็ดขาด
เด็กในท้องของนางต้องไม่เป็นแค่ลูกบ่าว
และนางต้องได้เป็นสตรีเคียงข้างซ่งเสวียนชิง