๑๕
“นี่ตะวัน พอดีน้องเขามาถ่ายรูปเลยได้คุยกัน น้องเขาน่ารักมากเลยนะ ตะวันนี่พสุจ้ะ เป็น” เธอชำเลืองไปมองเขาเล็กน้อย “สามีของนิท”
คำตอบนั้นราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจของตะวัน คิดว่าจะเจอรักแรกพบเสียแล้ว แต่เธอกลับมีเจ้าของเสียอย่างนั้น เขาฝืนยิ้มให้ผู้ชายที่ยืนกอดเอวภรรยา
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” ฝืนยิ้มให้
ซึ่งพสุก็รู้งานเขายิ้มกลับให้อีกฝ่ายเช่นกัน
“เป็นรุ่นน้องหรือ”
“ครับ ผมเรียนปีสาม นิเทศครับ” แนะนำพร้อมบอกชื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศราวกับพสุเป็นอาจารย์ประจำคณะเสียอย่างนั้นก็อีกฝ่ายน่าเกรงขามอย่างไรไม่รู้ ตะวันดูเด็กไปทันทีเมื่อสบตาคมที่แม้ใบหน้าจะยิ้มแต่ดวงตาราวมีดที่จะเฉือนเขาเสียอย่างนั้น
“เรียนเก่งน่าดูนะ”
นิทราส่งยิ้มให้รุ่นน้องพลางพยักหน้าเห็นด้วยกับพสุ
“แต่ว่าพี่กับนิทต้องขอตัวก่อนแล้วกัน พอดีรีบกลับน่ะครับ” เขาตัดบททันที
“ไปก่อนนะ” นิทราไม่วายหันไปยิ้มและโบกมือลาจนพสุดึงให้เดินไปแทบไม่ทัน
ตะวันก็ยกมือโบกลาอีกฝ่ายเช่นกัน รักแรกพบไม่มีอยู่จริงหรอก ขนาดผู้หญิงคนนั้นที่เขาหมายตาเอาไว้ยังมีสามีแล้วเลย ถอนหายใจแล้วก้มดูรูปของนิทราในกล้องที่ถ่าย
เสียดายเหลือเกิน...
เช้าวันจันทร์ไม่ได้สดใสสำหรับพสุเลยแม้แต่น้อย เขาไม่อยากนอนตื่นเช้ามานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านเอกสารเป็นวันๆ หากให้ลงพื้นที่ดูไซต์งานก่อนสร้างยังจะมีความสุขมากกว่าแต่ก็เลี่ยงไม่ได้เพราะเขาโยนงานให้พี่ชายไปแล้วหลายงานวันนี้จึงต้องจัดการงานที่เหลือของตนเอง
เสื้อเชิ้ตสีอ่อนกางเกงสแล็กสีเข้ม เน็กไทและเสื้อสูทแขวนไว้อย่างเรียบร้อยที่ห้องแต่งตัว เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้วที่นิทราจะเตรียมชุดให้เขาทั้งเช้าและเย็นหากช่วงแรกเขาก็ไม่ใส่บ้างแต่เพราะช่วงหลังตื่นสายแล้วต้องรีบเขาเลยจำใจใส่ชุดที่เธอเลือกไว้ให้จนชิน
“อ้าว กำลังขึ้นมาตามพอดี สายแล้วนะ” ใบหน้าหวานโผล่มาส่งยิ้มให้จนเขาอดเอ็นดูไม่ได้ ไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ของเธอเท่าไหร่
“ก็กำลังจะลงไปแล้ว ทำไมวันนี้ไม่ปลุกฉัน”
นิทราเดินมาหาสามีก่อนช่วยใส่เน็กไทให้
“ปลุกแล้วพสุก็เอาแต่ตอบในลำคอ จะขี้เซาอะไรขนาดนั้น” แอบยู่หน้าใส่จนเขาอดใจไม่ไหวเอามือมาบีบจมูกเธอโยกเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว
“ขี้บ่นจริง”
นิทราแก้มแดงด้วยความเขินกับการกระทำและแววตาที่เขาส่งมา เธอผละออกแล้วหยิบเสื้อสูทมาถือไว้ให้เขา
“ลงไปกินข้าวกันเถอะ” มือหนายกมาโอบไหล่บางของภรรยาไว้แล้วหยิบของลงไปข้างล่าง
นิทราใจเต้นไม่เป็นจังหวะเหลือบตามองเขาก็พบว่าอีกฝ่ายมองตนเองอยู่เหมือนกัน หากเป็นแบบนี้หัวใจเธอต้องทำงานหนักอย่างแน่นอนเล่นเอาหวานแต่เช้า
“หวานจังเลยนะ สงสัยแม่จะได้อุ้มหลานเร็วๆ นี้แล้วมั้ง” เมื่อถึงโต๊ะอาหารคนเป็นแม่ก็อดแซ็วลูกชายไม่ได้
พสุไม่ได้ตอบรับอะไรเพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้นแต่ก็ถือเป็นสัญญาณอันดีให้นางได้รู้สึกชื่นใจว่าจะได้อุ้มหลานในเร็ววันแล้ว
ภมรเดินเข้ามาภายในห้องอาหารพร้อมแฟนสาวของตนเอง ลินดายกมือไหว้ผู้อาวุโสทั้งสองแล้วมานั่งข้างภมร
“ได้ข่าวว่าไปฮันนีมูนกันมาหรือ” หันไปถามพสุแววตาล้อเลียน
เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น พสุนั่งข้างมารดาถัดมาเป็นภรรยาของเขา ทุกคนทานอาหารเช้าเสร็จก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน พสุมองพี่ชายที่เปิดประตูรถให้ลินดาทั้งความจริงมันควรจะเป็นเขาที่ทำแบบนั้น
นิทรามองดูสามีที่ส่งสายตาปวดร้าวไปทางภมรเธอก็รู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินที่เอาแต่คอยมองดูเขารักคนอื่นอยู่แบบนั้น
..ที่ข้างเขาไม่มีทางเป็นเธอได้เลยหรือ
สองพี่น้องต้องประชุมตลอดช่วงเช้าทั้งยังต้องออกไซต์งานช่วงบ่ายแทบไม่มีเวลากินข้าว ภายในช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้ลินดาไม่เห็นหน้าแฟนเลยสักวันเพราะเขาออกไปทำงานแต่เช้ากลับก็ค่ำ พอรู้มาบ้างว่าต้องประชุมงาน พบลูกค้าแต่ว่าลูกค้าที่ว่านั่นทำไมเขาไม่บอกว่าคือปุณิกา
ร่างบางกำโทรศัพท์แน่นขณะที่มองรูปภาพชายหญิงนั่งใกล้ชิดกันมองดูเมนูอาหารในมือ โกรธจนสั่นไปทั้งตัว ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นพยายามที่จะสะกดอารมณ์ให้เย็นลงแต่มันยากเหลือเกิน มือบางคลายแรงที่กำโทรศัพท์ยกขึ้นกดเลื่อนหาหมายเลขที่คุ้นชินรอไม่นานปลายสายก็รับ
‘ว่าไงลิน’ น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้เธออุ่นใจขึ้นมา
“พสุว่างพอคุยกับเราได้ไหม” เหลือบมองดูนาฬิกาเห็นเป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วจึงรู้สึกเกรงใจหากเขาอยู่กับภรรยา
“ว่างสิ ลินมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า” ไม่ว่าอย่างไรพสุก็ยังรู้ดีเสมอถึงน้ำเสียงของเธอที่แสดงความกังวลออกมาอย่างชัดเจน
“ช่วงนี้บริษัทยุ่งมากเลยหรือ”
“ยุ่งนะ พอดีลูกค้ามาจากไหนไม่รู้เยอะมาก นี่ขนาดแบ่งงานกับพี่ภมรแล้วนะยังแทบไม่มีเวลาเลย”
..ไม่มีเวลาอย่างนั้นหรือ แล้วรูปที่เขาไปนั่งกินข้าวกับยายปุณิกาคืออะไร! กับเธอจะโทรนับครั้งได้ เขากำลังนอกใจเธออยู่อย่างนั้นหรือ
“ลินถามทำไมหรือ”
“ไม่มีอะไรหรอก เรา..”
“พี่ภมรไม่ไปหาเลยใช่ไหม” น้ำเสียงห่วงใยทำให้เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ตอนนี้เธออยากจะระบายทุกสิ่งให้พสุฟังหากแต่ก็ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน เธอไม่ควรยุ่งกับเขาเพราะเขามีครอบครัวแล้วไม่อยากทำให้นิทราเข้าใจผิด
“อืม แต่เราเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นแค่..” เธอกำลังจะวางสายแต่เขาขัดขึ้นมาก่อน
“อยู่บ้านใช่ไหม เดี๋ยวเราไปหานะ” เขาว่าแค่นั้นแล้วก็วางสายไป
ลินดาถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม เธอลุกขึ้นถือโทรศัพท์ลงมาข้างล่าง ก็พบกับพสุที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้าบ้านเธอมา เขาสวัสดีพ่อกับแม่ของเธอก่อนจะชวนกันไปนั่งคุยที่ริมสระน้ำซึ่งอยู่ทางซ้าย ของบ้าน
“หน้าตาไม่ดีเลย” ร่างสูงทักขึ้นเมื่อเห็นหน้าลินดาซีดเซียว เธอเอาเท้าจุ่มลงน้ำพลางถอนหายใจออกมา
“ทำไม เราไม่สวยเหมือนเดิมหรือ” หันไปกระเซ้าถามแต่พสุก็รีบส่ายหน้า
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย”
“รู้น่า แค่ล้อเล่น นี่ออกมาบอกนิทหรือเปล่า เขาไม่คิดมาก ใช่ไหม”
คำถามนั้นทำให้อดคิดไปตอนเขารับโทรศัพท์ไม่ได้ อันที่จริงตอนนั้นเขาก็กำลังนั่งกินผลไม้ที่นิทราปอกให้ที่ห้องนั่งเล่นตอนที่ลินดาโทรมา เขาก็เห็นดวงตากลมโตฉายแววเศร้าแอบรู้สึกผิดกับคนข้างกายแต่ก็ห่วงปลายสายจนตัดสินใจลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ ก่อนออกมาก็บอกเธอแค่ว่าจะมาหาลินดาเท่านั้น
“บอกเขาไม่เห็นว่ายังไง” พสุพับขากางเกงขึ้นแล้วนั่งลงข้าง ลินดา “ว่าแต่ลินเถอะ มีเรื่องอะไรไหนเล่าให้ฟังหน่อย”
..ดีกับเธออย่างไรเขาก็ยังดีอยู่อย่างนั้น ถ้าหากว่าเธอรักเขาเรื่องทุกอย่างคงจะดีกว่านี้
“เราระบายได้ใช่ไหม พสุคงไม่คิดว่าฉันงี่เง่านะ” หันไปถามก่อนอีกฝ่ายก็เพียงหัวเราะพลางส่ายหน้า
“ผู้หญิงก็เป็นอย่างนั้นทุกคนไม่ใช่หรือ” แล้วก็ได้รับฝ่ามือพิฆาตไปหนึ่งครั้ง เขายังคงหัวเราะก่อนจะเงียบเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจ
“มันก็จริงนะ”
“จะเล่าไหมเนี่ย รีบเล่ามาเร็วรอฟังจนขี้เกียจจะฟังละนะ” ไม่รู้ทำไมว่าตอนนี้เขาถึงรู้สึกสนิทใจกับเธอมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะไม่ต้องคาดหวังความรักจากเธอแบบชู้สาวอีกต่อไปแล้วเหลือเพียงความเป็นเพื่อนที่ปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น
“นายจำปุณิกาได้ไหม” เขานึกก่อนจะพยักหน้า“ตอนนี้ยายนั่นกำลังเล็งพี่ภมรอยู่” ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ก่อนเขาก็เคยโดนผู้หญิงคนนั้นเข้าหาเหมือนกันแต่เพราะชอบลินดาจึงตัดความสัมพันธ์ไปอย่างเด็ดขาด อีกอย่างนั้นก็ช่วงมหาวิทยาลัยไม่ต้องมาคิดถึงประโยชน์ทางธุรกิจแต่กับพี่ภมรเขารู้ว่าไม่ใช่ อีกฝ่ายพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อให้คนในบริษัทยอมรับและถึงแม้จะได้รับการยอมรับแล้วแต่พี่เขาก็ไม่อยากจะเสียลูกค้าไปแม้แต่รายเดียว
“สัปดาห์นี้เราแทบไม่เจอหน้าเขา ขนาดอยู่บ้านใกล้กันขนาดนี้ โทรคุยก็นับครั้งได้ เราพยายามเข้าใจว่าเขางานเยอะเขายุ่ง แต่ว่าเพื่อนเราส่งรูปมาให้ดูที่เขาไปกินข้าวกับผู้หญิงคนนั้น มันหมายความว่ายังไงหรือพสุ เขาไม่ว่างมาหาเราแต่ว่างไปกินข้าวกับคนอื่น จะให้เราคิดยังไง เราไม่อยากเป็นคนงี่เง่านะ แต่ว่ามันอดคิดไม่ได้จริงๆ” เมื่อได้พูดออกมาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเก็บเอาไว้คนเดียว
พสุมองร่างเล็กอย่างสงสาร เขายื่นมือไปแตะไหล่บางเบาๆ
“ก็โทรถามเขาสิ”
“เราไม่กล้า” กังวลไปหมดทุกอย่างหากเขาอยู่กับปุณิกาจริงเธอจะทำอย่างไร
“ก็เป็นซะอย่างนี้ คิดไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะไปกันหลายคนแต่ไปเข้าห้องน้ำก็ได้ หัดคิดในแง่ดีซะบ้างสิครับลินที่เรารู้จักไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้นะ”
ลินดาแอบปาดน้ำตาแล้วหันไปมองเขาที่กำลังส่งยิ้มมาให้เธอ
..หรือที่จริงเธอคิดมากไปอย่างนั้นหรือในเมื่อที่ผ่านภมรแสดงออกมาตลอดว่ารักและแคร์เธอมากแค่ไหน
“สบายใจขึ้นยัง” ลินดาพยักหน้าก่อนจะยกมือไปแนบแก้มพสุ บี้หน้าอีกฝ่ายจนปากได้รูปถูกบีบเข้าหากัน “ฮ่าๆ หมดหล่อเลยคุณพสุ” ใบหน้าหวานแย้มยิ้มออกมาอย่างถูกใจ
“อ่อยไอ้แอ้ว” แม้จะบอกให้ปล่อยแต่ว่าเขาก็ไม่ได้ดึงมือเธอออกแต่อย่างใด
จนกระทั่งได้ยินเสียงที่ดังขึ้นตรงประตูทางเข้ามายังสระว่ายน้ำ
“ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะ” น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นเบื้องหลังเรียกความสนใจจากทั้งสองให้หันไปมองภมรด้วยสภาพที่เหนื่อยล้าในชุดทำงานยืนมองทั้งสองด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
พสุลุกขึ้นพร้อมกับลินดา
“จะกลับพอดี คุยกันดีๆ ล่ะ” เขาหันไปกระซิบประโยคหลังกับเธอแล้วเดินออกมา เหลือบมองพี่ชายแล้วถอนหายใจ หากเป็นแต่ก่อนคงยินดีที่ทั้งสองทะเลาะกันแต่ตอนนี้ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไป เขาเชื่อว่าตัวเองไม่ใช่คนดีขนาดที่จะยินดีถ้าทั้งสองรักกันแต่เชื่อเถอะว่าตอนนี้เขาคิดอย่างนั้น เขาคงจะยินดีถ้าภมรและลินดาแต่งงานกัน
“ไม่คิดว่าพี่จะว่างมาหาลินได้” เธอกอดอกหันไปมองยังผืนน้ำเบื้องหน้า ใบหน้าหวานงอง้ำอย่างคนน้อยใจ ร่างสูงถอนหายใจก่อนเดินมายืนเคียงข้างเธอ
“พี่ขอโทษที่ตลอดสัปดาห์ยุ่งจนไม่มีเวลามาหาลิน”
“ค่ะ ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะโทรศัพท์มาแต่กลับมีเวลาไปกินข้าวกับคนอื่น” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความน้อยใจและประชดประชัน
ภมรหันมาหาเธอก่อนจะจับไหล่บางให้หันมาหาเขา
“ฟังพี่นะคะคนดี พี่ไปเพราะเขาบอกว่าจะคุยงาน พี่ไม่คิดว่าเขาจะพาไปกินข้าว อีกอย่างพี่ก็พาเลขาไปด้วยไม่ได้ไปกันสองคน” ลินดาเม้มปากแน่นอย่างใช้ความคิด มองเข้าไปภายในดวงตาคมที่สะกดใจเธอมาหลายปีมีเพียงความจริงใจเท่านั้นที่ส่งผ่านออกมา
“ลินไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย” ว่าแล้วเธอก็โผเข้ากอดเขาเอาไว้
ใบหน้าคมแย้มยิ้มออกมาแม้จะเหนื่อยเพียงได้รับอ้อมกอดนี้เขาก็มีกำลังขึ้นมาแล้ว มือหนาลูบศีรษะมนอย่างแผ่วเบา
“มันดูงี่เง่ามากนะคะที่ต้องคอยหึงหวงอะไรแบบนี้ แต่พี่ภมรเข้าใจลินใช่ไหม” เงยหน้าขึ้นมองเขา
“พี่เข้าใจ พี่ชอบให้ลินหึงนะเพราะมันแสดงว่าลินรักพี่มากแค่ไหน” ยิ่งสบสายตาหวานของเขาที่ส่งมาเธอก็ต้องมุดหน้าลงซุกอกเขาเหมือนเดิม
..พี่ภมรยังเป็นคนที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเธอไม่คงที่เช่นเดิม ร่างหนากอดเธอเอาไว้ด้วยความรักก่อนจะซบหน้าลงกับศีรษะได้รูปสูดดมกลิ่นหอมของเธอเพียงเท่านี้ก็มีความสุขมากแล้ว