3
แล้วที่แย่ไปกว่านั้น การสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาที่พราวฟ้าไม่เข้าใจอยู่คนเดียว ราวกับว่าไม่อยากให้เธอรู้เรื่องที่สนทนากัน ความรู้สึกตอนนี้คือ เธอเหมือนแกะดำหลงเข้ามาในหมู่หงส์ นำพาความเศร้ามาให้พราวฟ้าอีกทำนบ
บุหงันที่นั่งหัวโต๊ะรู้และเห็นทุกอย่าง นางมองหลานชายก่อนมองพราวฟ้าที่นั่งตัวลีบอยู่ที่นั่งท้ายสุด นางวางช้อนและส้อมคู่กันบนจาน ทั้งที่ยังกินไม่อิ่ม
“คุณแม่กินไปนิดเดียวเองนะครับ อิ่มแล้วหรือครับ” ปุริมถามมารดา
“ยังไม่อิ่ม” บุหงันตอบ
“ยังไม่อิ่มแล้วทำไมไม่กินต่อล่ะคะคุณแม่” ลูกสะใภ้ถาม
“หรือว่าอาหารที่เปิ้ลทำไม่ถูกปากคุณย่าคะ” แม่ครัวรังสรรอาหารมื้อนี้เอ่ยถามต่อจากอรุณ
“กับข้าวน่ะอร่อย แต่ฉันไม่ชอบคนกระแดะ” ทุกคนบนโต๊ะอาหารพากันเงียบ มองหน้าบุหงันเป็นตาเดียว “เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ไม่พูดภาษาไทย ทั้งที่บนโต๊ะอาหารไม่มีคนหัวทองสักคน มีแต่หัวดำหัวย้อม ก็ต้องโทษคนเริ่มพูดคนแรกล่ะนะ คงไปอยู่เมืองนอกนานเกินไป พอกลับมาเมืองไทยเลยลืมกำพรืดตัวเอง ดัดจริต”
บุหงันพูดกระทบทิวาทิพย์เต็มๆ เพราะเธอเป็นเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหารที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเมื่อห้าเดือนก่อน ทิวาทิพย์ถึงกับหน้าชา ไม่คิดว่าบุหงันจะต่อว่าตนต่อหน้าทุกคน คนที่อึ้งและตกใจไม่แพ้ทิวาทิพย์คือ ปรินทร์ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยคำใด เสียงบุหงันดังขึ้นอีกครั้ง วาจาประโยคนี้ยิ่งทำให้ทิวาทิพย์หน้าชามากขึ้น
“อีกเรื่องที่ฉันอยากจะบอกเธอนะเปิ้ล แล้วจะพูดแค่ครั้งเดียว จะจำใส่หัวหรือไม่นั้นก็เรื่องของเธอ” เจ้าของเสียงมองหน้าทิวาทิพย์ “ที่นั่งที่เธอนั่งอยู่เป็นของทราย ถ้าเธออยากจะครอบครองจนตัวสั่นล่ะก็ รอให้โดมเลิกกับทรายก่อนดีไหม มารยาทน่ะรู้จักไหม อ้อ...คงไม่รู้จักสินะ เพราะฉันเห็นเธอนั่งตรงนี้ทุกครั้งที่มากินข้าวที่นี่ ส่วนแก ตาโดม แกอายุก็มากแล้วนะ คงรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ แต่ถ้าไม่รู้ฉันก็จะบอกให้ว่า เมียแกนั่งอยู่ตรงโน้น คนที่แกควรเอาใจคือทราย”
“ผมไม่เคยคิดอย่างที่คุณย่าพูดมานะครับ เปิ้ลเป็นเพื่อนของผม” ปรินทร์แก้ตัว
“แกก็จำคำพูดตัวเองไว้ให้ดีก็แล้วกัน อย่ากลืนคำพูดตัวเองทีหลังล่ะ ถ้ากลืนล่ะก็ ฉันถือว่าแกเป็นหมา หมาขี้เรื้อนด้วย” นางลุกขึ้นยืนเมื่อพูดจบประโยค “ทรายลุกขึ้น ไปกินข้าวข้างนอกกับฉัน ฉันทนกินที่นี่ไม่ได้ จะอ้วก”
พราวฟ้าที่ตกใจไปกับคำพูดบุหงันรีบลุกขึ้นตามคำสั่ง เดินตามบุหงันออกไปจากห้องกินอาหารโดยไม่มองใครสักคน เพราะเธอรู้ว่า คนในห้องนี้กำลังไม่พอใจตนที่บุหงันพูดเข้าข้าง และต่อว่าทิวาทิพย์อย่างไม่ว่าใครทั้งสิ้น
“วันนี้คุณแม่เป็นอะไร ถึงได้พูดแบบนี้”
อรุณงงไม่น้อย ในอดีตตอนทิวาทิพย์คบหากับปรินทร์ บุหงันให้ความรักและเอ็นดูไม่น้อย หลังจากทั้งคู่เลิกกัน บุหงันยังบ่นว่าเสียดายที่ไม่ได้ทิวาทิพย์เป็นหลานสะใภ้ แล้วพอทิวาทิพย์ย่างเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้เป็นวันแรกในรอบสี่ปี นางดีใจที่ได้เจอทิพวาทิพย์ ถามสารทุกข์สุกดิบยกใหญ่ และอีกหลายครั้งที่ทิวาทิพย์มาบ้าน บุหงันก็พูดคุยด้วยดีมาตลอด จะมีวันนี้ที่ทำต่างออกไป ทุกคนจึงงุนงงและสงสัย
“คุณย่าไม่พอใจอะไรเปิ้ลหรือเปล่าคะ หรือไม่ก็อาจเข้าใจผิดถึงได้พูดแบบนี้ เปิ้ลไม่เคยคิดทำอย่างที่คุณย่าพูดมาเลยนะคะ เปิ้ลกับโดมเป็นเพื่อนกันค่ะ” ทิวาทิพย์แก้ตัว ปากก็บอกว่าไม่ได้คิดอะไร ทว่าในใจตรงกันข้าม
“ใช่ครับ ผมกับเปิ้ลเป็นเพื่อนกัน คุณย่าคิดอะไรไปไกลได้ไงก็ไม่รู้”
แม้ว่าไฟรักที่มีต่อทิวาทิพย์จะดับมอดไปแล้ว แต่เขาก็ยอมรับว่า เมื่อได้เจอเธอในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดยุรนันท์ ถ่านไฟเก่าเหมือนจะคุขึ้นมาไม่รู้ตัว เขาพยายามจะดับไฟนั้น ตระหนักในใจว่า มีพราวฟ้าเป็นภรรยาอยู่แล้ว ทว่ามันก็ยาก เพราะเขากับทิวาทิพย์คบหากันนาน และมีความสัมพันธ์ทางกายนานหลายปี เวลานี้จึงคล้ายกับว่า มีแม่เหล็กระหว่างเขากับเธอก็ว่าได้
“คุณย่าเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในห้องนี้ ท่านอาบน้ำร้อนมาก่อนนะ ท่านอาจจะมองอะไรออกก็ได้” เสียงนี้เป็นของยุรนันท์ ที่ทุกคนหันมองหน้า “ถ้าไม่ได้คิดอะไรกันจริงก็ไม่ต้องสนใจคำพูดคุณย่าสิ ทำให้คุณย่าเห็นว่า นายกับเปิ้ลไม่ได้คิดเกินมากกว่าเพื่อน”
ยุรนันท์เป็นเพื่อนสนิทปรินทร์มานานยี่สิบปี พูดได้ว่าคบเป็นเพื่อนก่อนที่ปรินทร์จะคบหาทิวาทิพย์เป็นคนรัก เขารู้ดีว่า เวลานี้ลมพัดหวนกำลังเกิดขึ้นกับปรินทร์
ปรินทร์กับทิวาทิพย์มองหน้าคนพูด ทั้งสองเหมือนร้อนตัว แต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่นิ่งเงียบราวกับพูดไม่ออกที่ถูกดักทาง ปุริมกับอรุณไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เพราะทั้งคู่อยากได้ทิวาทิพย์เป็นลูกสะใภ้มากกว่าพราวฟ้า หญิงสาวที่ไม่มีหัวนอนปลายตีน ไม่มีอะไรเหมาะสมกับปรินทร์สักอย่าง
โดยเฉพาะอรุณ ความตั้งใจของนางต้องสำเร็จ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องใช้กลอุบาย เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
นางจะเฉดหัวพราวฟ้าออกจากชีวิตปรินทร์ให้ได้...