บทที่ 6 คนที่ตามหา
[บัวหอม]
วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวรุมเร้าและยังมีอาการเจ็บแปล๊บที่หัวเข่าข้างซ้ายร่วมด้วย แถมยังตัวรุมจากอาการไข้ที่ยังไม่หายดี วันนี้ฉันตั้งนาฬิกาปลุกและตื่นขึ้นมาทำธุระเสร็จก่อนที่ลูกทั้งสองคนจะตื่น ฉันพาลูกๆ เข้ามานั่งประจำที่ในห้องครัวของรีสอร์ตและออกไปทำงานเหมือนเดิม วันนี้ยังคงมีลูกค้าเยอะ และแขกที่มาสัมมนาก็ยังคงอยู่อีกวัน
"บัวหอม ทำไมวันนี้ดูไม่ดีเลย เธอไหวแน่นะ" เป็นแก้วขวัญคนเดิมที่เข้ามาทักทันทีที่เห็นสภาพของฉัน ฉันยอมรับว่าวันนี้ฉันรู้สึกแย่มากทั้งร่างกายที่ร้อนผ่าวทั้งตอนนี้ขาฉันยังคงเจ็บอยู่ตลอด ตอนนี้ฉันเดินขากะเพลกจนคนอื่นสังเกตได้ชัด ตอนฉันเดินออกไปเก็บจานที่โต๊ะลูกค้าที่ทานเสร็จ ก็ได้ยินเสียงลูกค้าที่นั่งโต๊ะข้างหลังพูดเรื่องฉันอยู่
'เสียดายอ่ะ หน้าตาสวยแต่พิการ'
'เธอก็อย่าพูดดังสิ น้องมันยังยืนอยู่ตรงนี้'
'ได้ยินแล้วทำไมล่ะ ก็มันเรื่องจริงและฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อยฉันก็ชมว่าเธอสวยนะ'
'เออๆ พอเถอะๆ'
ฉันได้ยินเรื่องแบบนี้จนชาชินไปเลยไม่คิดจะมาใส่ใจ ก็เพราะมันคือเรื่องจริงที่ฉันกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ฉันยอมรับด้วยความขมขื่นเล็กน้อย แต่ก็นั่นแหละฉันไม่จมปลักกับความคิดของคนอื่นได้นาน
"หอม บัวหอม ยัยหอม" เสียงเพื่อนสาวคนสนิทเรียกด้วยน้ำเสียงอันดังทำให้ฉันได้สติ
"ห๊ะ!! อะไรนะ..แก้วขวัญ" ฉันถามเธออีกครั้งเพราะเมื่อตะกี้มัวแต่เหม่อเลยไม่ได้ฟังว่าเธอพูดอะไร
"เหม่ออะไรอยู่เนี่ยะ" แก้วขวัญส่ายหน้าพร้อมกับทำหน้านิ่ว มองฉันตาไม่กระพริบ
"เอ่อ..ไม่มีอะไรแต่เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ"
"แก้วถามว่าเธอไหวไหม สภาพเธอวันนี้ดูไม่ดีเลยแล้วตัวก็ร้อนด้วยเนี่ยะ! ฉันจะไปตามพี่มิ้นให้หาเด็กมาแทนนะ ฉันว่าเธอไม่ไหวแล้วว่ะ"
"ไม่เอาๆ ฉันไหวเดี๋ยวก็บ่ายแล้วแขกคงกำลังจะออกมาแล้วเราออกไปเตรียมตัวเถอะ" ฉันพูดกับแก้วขวัญไม่ให้เธอกังวลใจกับฉันมาก หลังจากที่ช่วงเช้าแขกที่เข้ามาสัมมนาทานอาหารเสร็จก็ออกไปหมดแล้ว พวกเราก็มาทำหน้าที่คอยเสิร์ฟอาหารหน้าร้าน ซึ่งช่วงเสาร์อาทิตย์จะมีคนมาเที่ยวเยอะกว่าปกติ ตอนนี้ก็ใกล้จะได้เวลาแล้วส่วนลูกๆ ก็ยังนั่งเล่นกันอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนหลังจากได้กินข้าวของโปรดที่ป้าแตนเป็นคนทำให้พร้อมขนมนมเนยที่ได้จากพี่ๆ ป้าๆ อย่างไม่ขาดก็ทำเอาเด็กๆ เพลิดเพลินไปอีก ถามว่าฉันไม่สงสารลูกเหรอที่พามาลำบากด้วย แต่คนอย่างฉันก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนักหากไม่ทำงานฉันจะเอาเงินค่าเทอมมาจากที่ไหน ไหนจะค่ากินค่าเช่าบ้านค่าหาหมอของเด็กๆ ล้วนแล้วแต่ก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น เงินเก็บที่มีทุกวันก็ร่อยหรอเต็มทีฉันจึงเลิกที่จะไม่ไปหาหมอรักษาขาที่เริ่มจะปวดเรื้อรังและเลือกที่จะซื้อยามากินเองเพราะค่าใช้จ่ายในการพบหมอแต่ละครั้งของฉันก็ทำเอาเงินในบัญชีเกือบแห้งขอด
ตอนนี้พวกเรายืนประจำที่ตามจุดเหมือนเช่นเคย แขกกำลังทยอยพากันมานั่งที่โต๊ะและตักอาหารทานกัน เป็นช่วงเวลาที่ฉันต้องทำหน้าที่อย่างหนักเหมือนเดิม ตอนนี้ฉันรู้สึกปวดขามากกว่าทุกวันเพราะสองสามวันมานี้ฉันไม่ได้พักไหนจะอาการไข้ที่ยังไม่หายแล้วยังจะมาปวดขาร่วมด้วยอีก และหลายวันมานี้อากาศเริ่มเย็นทำให้อาการปวดเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติขนาดกินยายังเอาไม่อยู่เลย ฉันเริ่มเดินเก็บจานเปล่าเอามาวางไว้ในครัว ทิ้งน้ำหนักลงที่ขาปล่อยให้เดินขากะเพลกแบบไม่สนใจสายตาใครเพราะความปวดที่ยากจะฝืน
บางคนที่เห็นฉันก็มองตามด้วยสายตาไม่กะพริบ ทั้งมองหน้าและเหลือบสายตาลงมามองที่ขาฉันอย่างไม่ปิดบังสายตา ตอนนี้ฉันเดินเก็บจานขาเป็นระวิง ในตอนที่กำลังจะเอาจานเข้าไปเก็บ
ฉันรู้สึกว่าร่างกายฉันมันเริ่มจะหนักกว่าทุกครั้ง แถมยังก้าวขาไม่ออกอีก ในตอนที่สติกำลังจะหายไปฉันได้ยินเสียงจานที่ล่วงแตกพร้อมกับเสียงกรีดร้องแล้วก็เสียงฝีเท้าวิ่งหนักๆ เข้ามาใกล้ ได้ยินเสียงเรียกอย่างร้อนรน เป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยจากที่ได้ยินเมื่อครั้งนานมากแล้ว
แต่ทำไมเสียงนี้ถึงยังตามมาหลอกหลอนฉันอีกนะ หรือฉันฝันไปนี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ลูกล่ะลูกต้องเป็นห่วงแน่ๆ ฉันรู้แค่ว่าตัวเองส่งเสียงเรียกลูกออกมาก่อนจะหมดสติไป ไม่รับรู้ว่ามีใครคนนั้น คนที่เธอยังระลึกถึงอยู่เสมอเข้ามารับตัวเธอเอาไว้ทันก่อนที่หัวเธอจะฟาดลงกับพื้น
'บัวหอม บัวหอมตื่น หนูอย่าเป็นอะไรไปนะ บัวหอม'
....
[คนกลาง]
ที่ผมพูดนั้นไม่มีผิดทันทีที่พี่ใหญ่ได้รับข้อมูลดูรูปที่ผมส่งไปให้ดูไม่ทันข้ามคืนพี่ใหญ่ก็มาอยู่ที่หน้าบ้านไม้เก่าสองชั้นนี้แล้ว ถ้าไม่ติดว่าผมห้ามพี่ใหญ่ไว้มีหวังพี่ใหญ่ได้บุกเข้าไปในบ้านตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นแน่ผมพาพี่ใหญ่มานั่งรอสามแม่ลูกในรถตั้งแต่เมื่อคืนตรงข้ามบ้านเธอ ผมรู้ว่าพี่ใหญ่ยังไม่ได้นอนและผมก็เช่นกัน ถึงผมจะมีแอบหลับบ้างแต่ใครจะไปหลับลง ถึงในรถจะกว้างขวางเพราะพี่ใหญ่ใช้รถตู้คันใหญ่ออกมาโดยมีคนขับรถส่วนตัว แต่ที่ผมนอนไม่ลงก็เพราะคนพี่ที่คอยแต่นั่งอยู่ไม่เป็นสุขบนรถนี่ต่างหาก ท่าทีที่ดูสงบเยือกเย็นแต่ในใจคงร้อนรุ่มดังไฟ ตอนที่เห็นทั้งสามคนเดินออกมาแล้วขึ้นไปนั่งบนรถสองแถว พี่ใหญ่สั่งให้คนขับรถขับตามไปห่างๆ
หลังจากได้เห็นเด็กๆ เต็มตาอีกครั้ง ผมมองพี่ใหญ่ที่นั่งตาแดงยามมองไปที่สามคนแม่ลูก ความสดใสน่ารักสมวัยของหลานๆ ที่ตอนนี้กำลังส่งเสียงร้องเพลงนั่งเล่นกัน ส่วนคนเป็นแม่เหมือนอาการจะไม่สู้ดีนัก ผมเห็นเธอทำหน้านิ่วบางครั้งก็กัดปากอยู่บ่อยครั้งส่วนพี่ใหญ่ก็แทบจะอยู่ไม่ติดรถแล้ว ตอนนี้หน้าพี่ใหญ่อึมครึมจนผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตา จนพวกเรามาถึง รีสอร์ตผมพาพี่ใหญ่มานั่งดูเธอทำงานตรงจุดเดิมเมื่อวาน
ผมเห็นว่าน้องเดินขากะเพลกอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่เมื่อเช้าตอนออกมายังดูไม่ออกว่าเธอเดินไม่ปกติ ส่วนพี่ชายของผมตอนนี้เหมือนกับกำลังระงับโทสะอะไรบางอย่าง ผมเห็นพี่ใหญ่กำมือแน่นจนข้อมือขาวซีด พร้อมสูดหายใจลึกเหมือนกำลังสะกดอารมณ์
"พี่ใหญ่คะ..ครับ"
เพล้งง!!
กรี๊ดดด~~
ในตอนที่ผมกำลังจะเรียกพี่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงเหมือนจานตกแตกและเสียงกรี๊ดดังมาจากในร้าน พร้อมกับความชุลมุนวุ่นวายและมีคนมุงดูอะไรสักอย่างแต่พี่ใหญ่ที่ควรจะอยู่ที่นี่กลับไม่อยู่แล้ว เพียงแค่พริบตาเดียวพี่ใหญ่ก็อุ้มเด็กสาวผ่านไปที่รถด้วยความร้อนรนและตะโกนบอกผมให้ไปดูเด็กๆ
ผมรับคำอย่างมึนงง แต่ก็รีบเข้าไปยังโซนด้านในที่ตอนนี้ลูกค้าที่กำลังตกใจถูกพนักงานเคลียร์จนสถานการณ์สู่ปกติแล้ว ผมเดินเข้าไปยังด้านในโซนห้องครัวทันที เห็นเด็กแฝดนั่งร้องไห้กอดกันกลมโดยมีผู้หญิงอีกคนนั่งกอดอยู่ไม่ห่าง
"เด็กๆ ครับ" ผมยื่นมือไปตรงหน้าเด็กแฝดแต่ยังไม่ทันได้ถึงตัวก็เห็นผู้หญิงคนนั้นถามออกมาด้วยน้ำเสียงเครียด
"คุณเป็นใครคะ"
"ผม..ผมเป็นเจ้าของที่นี่ พอดีพี่ชายผมคนเมื่อกี้เป็นคนอุ้มน้องออกไปโรงพยาบาล ผมเลยจะมาพาเด็กๆ ไปด้วยกันแต่ถ้าคุณไม่ไว้ใจผมจะไปด้วยกันก็ได้นะ" ผมพูดตะล่อมผู้หญิงคนนั้นก่อนที่ผู้จัดการร้านจะเดินเข้ามา
"สวัสดีค่ะ คุณกลางมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ"
"พอดีผมจะมาพาเด็กๆ ไปหาแม่ของเธอน่ะครับ เมื่อกี้พี่ผมเป็นคนพาแม่ของเด็กๆ ไปเลยคิดว่าเด็กๆ อาจจะอยากตามไปด้วยน่ะครับ"
"หาแม่ ข้าวหอมจะไปหาแม่ ฮื่อ..'
"ข้าวปั้นก็จะไปหาแม่ครับ ฮื่อ..คุณอาพาหนูไปหาแม่จ๋าได้ไหมคะ..ครับ"
ผมเห็นเด็กน้อยทั้งสองคนร้องไห้สะอึกสะอื้น เด็กผู้หญิงถอดออกมาจากคนเป็นแม่อย่างไม่ผิดเพี้ยนผมมองภาพซ้อนทับของบัวหอมที่ร้องไห้โยเยหาผมตอนไม่สบายก็ทำให้จุกอก ผมอ้าแขนรับเด็กหญิงตัวน้อยที่โผเข้าหาทันทีเมื่อถูกผู้หญิงคนที่กอดอยู่ปล่อยตัว
"ไปค่ะ เดี๋ยวอาจะพาไปหาแม่จ๋านะคะ ข้าวหอมใช่ไหมคะและนี่คงจะเป็นข้าวปั้น" ผมยิ้มให้กับเด็กชายที่ยังยืนเกาะขาผู้หญิงคนนั้นอยู่แต่แววตาบ่งบอกได้ว่าอยากไปหาแม่จ๋าไม่ต่างกัน
"ไปครับ ข้าวปั้นจะไปหาแม่จ๋าด้วย"
"งั้นดิฉันฝากเด็กๆ ด้วยนะคะคุณกลาง ยัยแก้วเธอก็ไปกับเด็กๆ ด้วยนะป่านนี้ไม่รู้ว่าบัวหอมจะฟื้นหรือยัง"
"ค่ะพี่มิ้น งั้นแก้วไปกับเด็กๆ นะคะ เดี๋ยวมีอะไรแก้วจะโทรมาแจ้งพี่มิ้นค่ะ"
"อืมๆ ไปเถอะ"
ผมเดินอุ้มสาวน้อยข้าวหอมโดยมีผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อแก้วขวัญเดินจูงมือข้าวปั้นหลานชายผมตามมาขึ้นรถด้วยกัน จุดหมายปลายทางคือโรงพยาบาลในตัวเมืองที่เธอบอกว่าเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ก่อนผมจะได้รับข้อความจากพี่ชายว่าน้องถึงมือหมอแล้ว ทำให้ผมถอนหายใจอย่าง โล่งอกพร้อมกับบอกหญิงสาวข้างตัว เธอเองก็คงโล่งใจเหมือนกัน