ตอนที่ 5 แนะนำ
ตอนที่ 5 แนะนำ
สามปีผ่านไป...
ตลอดสามปีที่ผ่านมาต้นไผ่ยังคงส่งข้อความไปคุยกับแด๊ดดี้อยู่ตลอด เธอมักจะชอบส่งข้อความไปรายงานการใช้เงินที่เขาส่งมาให้ใช้ในแต่ละเดือนและพูดคุยเรื่องต่างๆคล้ายกับคนขี้เหงา
ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีนี้ต้นไผ่ยังคงขอเงินแด๊ดดี้เท่าเดิม ถึงค่าใช้จ่ายของเธอจะเพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่เธอก็ไม่เคยขอเพิ่ม
เธอทำงานเก็บเงินซื้อของที่เธออยากได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ส่วนการเรียนของเธอจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากเธอเป็นคนหัวดี เหมือนมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
กระเป๋า รองเท้า โน๊ตบุ๊ค ไอแพด เพื่อนๆมีเธอก็มี เพื่อนๆอาจจะขอเงินแม่มาซื้อแต่ของฟุ่มเฟือยพวกนี้ เธอทำงานสุจริตซื้อมาเอง ซึ่งยุคสมัยนี้จัดว่าจำเป็นมากๆสำหรับการเรียนรู้ในรั้วมหาวิทยาลัย โดยที่แด๊ดดี้ของเธอไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย เขาไม่รู้ด้วยว่าเธอแอบไปทำงานมาตลอดสามปี
"ต้นไผ่ทางนี้" ลูกตาลนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งหน้ามหาวิทยาลัยกวักมือเรียกเพื่อนหยอยๆ เมื่อเห็นต้นไผ่เดินมาแต่ไกล
"ป่ะ...ไปเรียนกัน ได้เวลาเรียนแล้วฉันมาสายไปหน่อย"
"ไม่สาย กำลังดี ว่าแต่แกเป็นอะไรทำไมทำหน้าแบบนี้" ต้นไผ่ติดต่อแด๊ดดี้ไม่ได้ เธอส่งข้อความไปในไลน์เหมือนทุกครั้งแต่เขาไม่ยอมเปิดอ่าน เธอจึงรู้สึกเป็นห่วง จะโทรไปเธอก็ไม่กล้า เพราะเขาไม่เคยเอ่ยปากอนุญาตให้เธอโทรได้
ช่วงสามปีที่ผ่านมาต้นไผ่ติดต่อกับแด๊ดดี้ของเธอผ่านข้อความเป็นตัวอักษรเท่านั้น ซึ่งการที่เธอต้องใช้ภาษาอังกฤษอยู่เป็นประจำ ทำให้ตอนนี้เรื่องภาษาของเธอเก่งมากๆ เพื่อนที่เรียนเก่งกว่าเธอบางคนยังพูดไม่ได้เลย แต่เธอกลับพูดและเขียนได้คล่อง
"ฉันทักไปหาแด๊ดดี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่แด๊ดดี้ไม่ยอมตอบเลย" นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ปกติไม่เคยนานขนาดนี้ พักหลังๆเธอส่งข้อความไปหา เขาก็มักจะรีบเปิดอ่านและตอบข้อความของเธอทันที ยกเว้นซะแต่ว่าติดธุระจริงๆ
"แกจะขอเงินเขาเหรอ" ลูกตาลถามเพื่อนแบบนี้ เนื่องจากปีนี้ค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนเยอะมากขึ้นจากปีแรกๆมาก
"เปล่า...ฉันแค่เป็นห่วง แก่แล้วด้วยป่วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ปกติแด๊ดดี้ไม่เคยไม่อ่านข้อความฉันช้าขนาดนี้"
"คนแก่ก็แบบนี้แหละ เจ็บป่วยบ้างคงเป็นเรื่องธรรมดา" ต้นไผ่คิดว่าเขาแก่แล้ว เพื่อนสนิทอย่างลูกตาลก็คงไม่แปลกที่จะคิดเหมือนกัน
ทางด้านมิเชลที่เขาหายไป ไม่ได้ตอบข้อความของต้นไผ่ เป็นเพราะเขากำลังเดินทางมาติดต่อเรื่องงานที่ประเทศไทย ตอนนี้น่าจะกำลังนั่งเครื่องอยู่ การมาของเขาในครั้งนี้ไม่ได้บอกให้ต้นไผ่รู้เพราะเขาไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องรายงานเธอ
ส่วนลูกตาลตอนนี้เธอเลิกทำงานพาร์มไทม์ไปนานแล้ว เพราะเธอมีเสี่ยกระเป๋าหนักคอยเลี้ยงดู ซึ่งเธอก็รักเขามาก ไม่ได้เป็นเพราะเงินที่เขาให้เธออย่างเดียวแต่เป็นเพราะหัวใจของลูกตาลด้วยที่ได้มอบให้เขาไปจนหมด เพียงเพราะเขาเอาใจใส่และดูแลเธออย่างดีมาตลอด
"ฉันเป็นห่วงแด๊ดดี้จังเลย"
"แด๊ดดี้ของแกอาจจะไม่ได้ป่วย อาจจะแค่ติดธุระก็ได้ คิดบวกๆ" ลูกตาลให้กำลังใจเพื่อน
ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน...แด๊ดดี้ได้อ่านและตอบข้อความของเธอแล้ว แต่เขาก็หายไปอีก นั่นยิ่งทำให้ต้นไผ่คิดว่าเขาน่าจะป่วยจริงๆ
"เลิกเรียนแล้วฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวเจ้ร้านขนมหวานหักเงินฉันอีก" สามปีที่ผ่านมา ต้นไผ่เลือกที่จะขอเงินแด๊ดดี้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นเธอก็จะหาเงินมาได้ด้วยการทำงานพาร์ทไทม์ช่วงหลังเลิกเรียนเอา ซึ่งเธอทำแบบนี้มาสามปีแล้ว เหลืออีกแค่ปีเดียวเธอก็จะเรียนจบแล้ว
ความใฝ่ฝันของเธอคือได้ทำงานบริษัทมีเงินเดือนประจำ ซึ่งเธอตั้งใจจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปจุนเจือน้องๆที่บ้านคุณแม่ บ้านเด็กกำพร้าที่เธอเติบโตมา...สามปีที่ผ่านมานี้ เธอไม่ได้กลับไปเลย เพราะต้องเรียนและทำงานไปด้วย เธอได้แต่โทรไปคุยกับคุณแม่บ้างเป็นครั้งคราวแล้วแต่โอกาส
@ร้านขนมหวาน
"ต้นไผ่...นี่เงินเดือน เดือนนี้ของเธอจ่ะ ช่วงนี้ขนมขายไม่ค่อยดี หยุดทำงานไปก่อนสักเดือนสองเดือนนะ" เจ้เจ้าของร้านยื่นซองสีขาวให้เธอ ซึ่งในนั้นมีเงินค่าแรงของเธอจำนวนหนึ่งที่ได้ทำค้างเอาไว้
"เจ้คะ...เจ้ไล่หนูออกเหรอ" ต้นไผ่หน้าซีด เนื่องจากช่วงนี้ค่าใช้จ่ายของเธอเยอะขึ้นมาก ล่าสุดตู้เย็นพัง เธอเพิ่งจะผ่อนตู้เย็นมาใหม่เหลืออีกตั้งหลายงวดกว่าจะหมด
"ไม่ได้ไล่ออก แค่หยุดจ้างชั่วคราว ถ้ากลับมาขายดีเมื่อไหร่จะเรียกกลับมานะ ก็เห็นๆอยู่ว่าขนมหวานช่วงนี้ขายไม่ดีจริงๆ" คนหันมารักสุขภาพกันเยอะขึ้น ร้านค้าก็เปิดแข่งกันเยอะขึ้นจากแต่ก่อน ยอดขายก็เลยเป็นอย่างที่เห็น ลดน้อยลงจากแต่ก่อนนี้มาก
ต้นไผ่เดินคอตกกลับห้องไป...เธอตกงานแล้ว ส่วนแด๊ดดี้เธอคงไม่กล้าขอเงินเขาเยอะมากกว่าที่เขาเคยให้ เพราะเธอไม่รู้ว่าเขายากดีมีหรือจน ช่วงนี้แด๊ดดี้ของเธอน่าจะป่วยอยู่ด้วยมั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น ต้นไผ่มาเรียนตามปกติ เธอยังคงปั่นจักรยานมาเรียนเหมือนเดิม
"เป็นอะไรต้นไผ่ ทำไมทำหน้าแบบนั้น" ลูกตาลถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ปกติต้นไผ่เป็นคนอารมณ์ดี ไม่เคยมีสีหน้าซีดเซียวแบบนี้มาก่อน คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
"เราตกงานน่ะ เจ้ไม่ให้เราไปทำงานที่ร้านแล้ว แกบอกว่าขนมช่วงนี้ขายไม่ค่อยดี" ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เจ้แกบอก
"แกก็หางานใหม่สิ" ลูกตาลแนะนำ เนื่องจากปีสุดท้ายนี้ เรียนหนักแถมยังต้องใช้เงินเยอะขึ้นด้วย ถ้าไม่ขอเงินแด๊ดดี้เพิ่มก็มีทางเดียวคือต้องหางานใหม่ทำอย่างเดียวถึงจะอยู่ได้
"งานส่วนมากเน้นอยู่ยาว วันละแค่สามสี่ชั่วโมงเขาไม่รับ" พูดง่ายๆว่าเด็กพาร์ทไทม์เขาไม่รับ ความรับผิดชอบน้อยกว่าพนักงานประจำแต่ต้องจ่ายเงินต่อชั่วโมงเท่ากัน ทุกๆร้านจึงเลือกที่จะจ้างพนักงานประจำดีกว่า
"แกลองไปหามาแล้วเหรอ"
"ไปมาหมดแล้ว" ต้นไผ่ไปได้แค่ในละแวกใกล้ๆเท่านั้น เพราะเธอมีแค่จักรยาน ซึ่งในละแวกนี้ก็ไม่มีร้านไหนให้เธอทำงานเลย
"ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องขอแด๊ดดี้เพิ่มแล้วแหละ" ต้นไผ่ขี้เกรงใจ เธอคงไม่ทำแบบนั้นแน่
"ไม่ขอ...เกรงใจท่านน่ะ แค่เงินที่ส่งรายเดือนมาตลอดสามปี ก็ไม่น้อย มีแค่ไหนใช้แค่นั้น" มหาวิทยาลัยที่ต้นไผ่ได้เรียนจัดว่าติดอันดับต้นๆของประเทศเลยเชียวล่ะ ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตในแต่ละวันก็เช่นกัน ค่อนข้างสูงมาก เงินที่แด๊ดดี้ส่งมาให้สำหรับต้นไผ่มองว่าเยอะมากแล้ว แต่สำหรับแด๊ดดี้เขาไม่รู้อะไรเลย เขาเคยถามว่าเงินพอใช้มั้ย ต้นไผ่ก็มักจะตอบเหมือนเดิมว่าพอ เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาจึงไม่รู้ว่าค่าครองชีพในกรุงเทพฯตอนนี้มันพุ่งขึ้นไปไกลขนาดไหนแล้ว เขาไม่ได้สนใจต้นไผ่ขนาดนั้น เธอว่าเท่าไหร่ก็เท่านั้น สมองของเขามีไว้คิดแต่เรื่องงาน เรื่องหยุมหยิมพวกนี้เขาไม่เก็บเอามานั่งคิดหรอก
"สนใจเสี่ยสักคนมั้ยล่ะ" ลูกตาลนำเสนอ เพราะเธอเองก็เป็นเด็กเสี่ยมาได้เกือบปีแล้ว ทุกวันนี้อยู่อย่างสุขสบาย มีเงินใช้ไม่ขาดมือ
"แบบแกน่ะเหรอ"
"อือ..."
"ไม่ล่ะ ฉันไม่เคย"
"ก็ถ้าแกไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เคยซะ แล้วเมื่อไหร่จะใช้คำว่าเคยได้ล่ะ" ช่วงนี้นักธุรกิจที่เลี้ยงดูลูกตาลอยู่เห็นว่ามีเพื่อนมาจากต่างประเทศ กำลังอยากได้ผู้หญิงสักคนไปช่วยดูแลนักธุรกิจคนนั้น เผื่อว่าการเจรจาธุรกิจจะได้ราบรื่นขึ้น