ตอนที่ 1 อุบัติเหตุ
ตอนที่ 1 อุบัติเหตุ
@ปารีส ณ ประเทศฝรั่งเศส
มิเชล...ชายหนุ่มอายุย่างเข้าเลขสาม ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างสมส่วน ครอบครัวมีธุรกิจหลายอย่าง มีทั้งสีขาวและสีเทา ฐานะทางครอบครัวรวยติดอันดับมหาเศรษฐีต้นๆของประเทศ เขาเป็นลูกชายคนเดียว มีคุณพ่อเป็นคนฝรั่งเศสแท้ มีคุณแม่เป็นคนไทย ส่วนมิเชลเป็นลูกครึ่ง
เขามีคุณพ่อชื่อโจเซฟ มีคุณแม่ชื่อนิดา ซึ่งตอนนี้พวกท่านทั้งสองได้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศไทยบ้านเกิดของคุณแม่กันได้หลายวันแล้ว
ในทุกๆวันมิเชลมักจะใช้ชีวิตเพลย์บอยไปเรื่อยๆ เขามักจะชอบใช้เงินแก้ปัญหาและซื้อความสุขให้ตัวเองอยู่เป็นประจำ
"คุณมิเชลขา...กระแทกแรงๆอีกค่ะ" บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์มีร่างหญิงชายเปลือยเปล่ากำลังทำกิจกรรมอย่างว่ากันอย่างเมามัน แต่อยู่ๆโทรศัพท์มือถือของมิเชลก็มีสายโทรเข้ามา แต่เขาเลือกที่จะปล่อยให้มันดังไปก่อนจนกว่าจะเสร็จธุระ
ทันทีที่น้ำรักได้ถูกปลดปล่อยเข้าไปในเครื่องป้องกัน เขาก็ดึงความเป็นชายขนาดใหญ่ออกมาจากร่างกายของหญิงสาวหุ่นสะบึ้มทันที แล้วคว้ามือถือที่ดังไม่ยอมหยุดเอาขึ้นมารับสาย
"ว่าไง!" น้ำเสียงอันทรงพลังเอ่ยถามขึ้นด้วยอาการหอบเหนื่อยเล็กน้อย
"นายใหญ่เกิดอุบัติเหตุครับ" คิ้วเข้มขยับเข้าหากันทันทีที่ได้ฟังข้อความสนทนาในสาย
"อาการล่ะ" น้ำเสียงเข้มจัดท่าทางเป็นกังวลเอ่ยถามกลับไปในขณะที่รีบคว้าเสื้อผ้าเอาขึ้นมาสวมใส่ด้วยท่าทางรีบร้อน
"ตอนนี้ยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ที่เมืองไทยครับ เหตุเกิดขึ้นเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วครับ"
"เตรียมเครื่อง อีกครึ่งชั่วโมงออกเดินทางทันที"
"รับทราบครับ" วางสายเสร็จมิเชลก็โยนเงินให้ผู้หญิงคนนั้นหนึ่งบึกเป็นค่าตัว แล้วรีบร้อนออกจากห้องไป โดยไม่สนใจว่าคู่นอนจะรู้สึกยังไง ด้านนอกมีลูกน้องขับรถมารอรับ จากนั้นเขาก็ตรงไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัว เดินทางไปยังประเทศไทยทันที
@เมืองไทย
เหตุการณ์ก่อนหน้า...
ต้นไผ่...หญิงสาวอายุสิบเจ็ดย่างเข้าสิบแปดปี เธอกำลังปั่นจักรยานกลับจากโรงเรียนมัธยมใกล้ๆบ้านในชนบทที่เธออาศัยอยู่ บ้านที่ว่านั้นคือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งเธอเป็นคนหนึ่งที่เติบโตมาจากที่นั่น
ระหว่างทางกลับบ้านอยู่ๆก็มีรถเก๋งคันใหญ่ยี่ห้อแพงเสียหลักขับพุ่งชนเสาไฟฟ้าต่อหน้าต่อตาของเธออย่างจัง เสียงของมันดังสนั่นจนเธอตกใจต้องยกมือขึ้นปิดหู
"ปั้ง!!"
"กรี๊ด!!"
ทันใดนั้นกระโปรงด้านหน้ารถก็มีควันโขมงลอยขึ้นท้องฟ้าเต็มไปหมด ต้นไผ่เห็นท่าไม่ค่อยดี เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปดูคนที่อยู่ด้านในรถทันที โดยที่ไม่คิดถึงอันตรายของตัวเองที่จะตามมา บนถนนชนบทตอนนี้ไม่มีรถผ่านไปผ่านมาเลยสักคัน เธอมองเข้าไปด้านในรถ เห็นมีคนขับอยู่ด้านในเพียงคนเดียว
"คุณลุง! คุณลุงคะ!" ประตูรถเปิดไม่ออกเธอจึงพยายามเคาะแรงๆ เพื่อให้คนที่อยู่ด้านในรู้สึกตัวแล้วเปิดประตูให้เธอ
โจเซฟ...นักธุรกิจอาวุโส ขับรถออกจากบ้านไปทำธุระคนเดียว ทิ้งภรรยาอยู่ทำกับข้าวรออยู่ที่บ้าน ระหว่างทางขับรถกลับ อยู่ๆเขาก็เกิดอาการหน้ามืดเวียนหัวขึ้นมากะทันหัน น่าจะเกิดจากโรคประจำตัว ส่วนลูกน้องไม่ได้ตามมาด้วย ให้อยู่เป็นเพื่อนนายหญิงที่บ้าน
"คุณลุง!! ปัก! ปัก! ปัก! เปิดประตูให้หนูหน่อยค่ะ เร็วๆค่ะ!" โจเซฟไม่ได้หมดสติ เขาแค่หน้ามืดเวียนหัว ดีที่รถมีระบบนิรภัยคนที่อยู่ด้านในจึงไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ด้านหน้ากระโปรงรถก็เริ่มมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา อีกประเดี๋ยวมันจะต้องระเบิดอย่างแน่นนอน
"แก๊ก!" เสียงประตูปลดล็อค ทันใดนั้นต้นไผ่หญิงสาวตัวเล็กรูปร่างผอมบาง เธอพยายามลากคุณลุงออกจากรถอย่างทุลักทุเล เนื่องจากคุณลุงตัวสูงใหญ่ เธอพาคุณลุงออกจากรถได้ เธอก็รีบประคองคุณลุงเดินเร็วๆออกห่างจากรถให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันใดนั้นเสียงเครื่องยนต์ก็ระเบิดดังขึ้น
"ตู้ม!!!" ทั้งคุณลุงและต้นไผ่ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น หัวเข่าของต้นไผ่ถลอกเลือดซิบ
"คุณลุงเป็นยังไงบ้างคะ"
"ยัยหนู...ขอบใจ..." เสียงของคนแก่เอ่ยขอบใจ ถ้าไม่ได้เด็กคนนี้ช่วยไว้มีหวังท่านคงไม่มีลมหายใจแล้ว
"ช่วยด้วยค่ะ!! ช่วยด้วย!!" ต้นไผ่ตะโกนขอความช่วยเหลือเรียกรถที่ขับผ่านมาพอดี ซึ่งรถคันนั้นก็ได้จอดให้ความช่วยเหลือ ช่วยนำตัวคุณลุงไปส่งโรงพยาบาลใกล้ๆแถวนั้นทันที ดีที่โจเซฟมีภรรยาเป็นคนไทย เขาพอฟังและพูดภาษาไทยได้บ้าง ถึงจะไม่ค่อยชัดเหมือนเจ้าของภาษาก็ตาม
@โรงพยาบาลเล็กๆในชนบท
"คุณโจ คุณเป็นยังไงบ้างคะ" คุณนิดา ภรรยาของโจเซฟเดินเร็วๆเข้ามาหาผู้เป็นสามีด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับลูกน้องอีกสองคนเดินตามนายหญิงเข้ามาด้วย
"ไม่เป็นอะไรแล้ว ต้องขอบคุณยัยหนูคนนี้" ส่วนรถที่เกิดอุบัติเหตุทางตำรวจเข้ามาจัดการให้แล้วเรียบร้อย ส่วนค่าเสียหายทั้งหมดไม่ใช่ปัญหา
"นี่คุณนิดา เธอเป็นภรรยาของลุงเอง"
"สวัสดีค่ะคุณป้า"
"สวัสดีลูก...หนูเป็นคนช่วยคุณลุงเอาไว้ใช่มั้ยลูก"
"ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าคนอื่นมาเจอก็ต้องช่วยแบบหนูแน่นอน ใครจะยืนดูเฉยๆจริงมั้ยคะ" คุณนิดายืนยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า ทำไมจิตใจดีจัง
"หนูชื่ออะไรลูก"
"หนูชื่อเมธาพรค่ะ" เธอเลือกที่จะบอกชื่อจริง ไม่ได้บอกชื่อเล่น
"เมธาพร...ชื่อเพราะจังเลย"
"ขอบคุณค่ะ คุณลุงปลอดภัยแล้ว หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ" ป่านนี้คนที่บ้านน่าจะเป็นห่วงแล้ว เธอกลับบ้านผิดเวลา ไม่มีใครรู้ด้วยว่าเธอหายไปไหน
"เดี๋ยวสิยัยหนู" เป็นเสียงของคุณนิดา ท่านเป็นคนใจดีอ่อนโยน รู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวตรงหน้าที่ช่วยสามีของท่านเอาไว้
"คะ"
"รับเงินนี่ไว้เป็นน้ำใจที่ช่วยสามีของป้า ป้าขอบคุณหนูมากนะจ๊ะ" ท่านแค่อยากตอบแทนน้ำใจ และอยากจะมอบรางวัลให้แก่เด็กที่กล้าเสียสละ ด้วยเงินสดจำนวนหนึ่งในกระเป๋าที่ท่านนำติดตัวมาด้วย
"ไม่เป็นไรค่ะ" ต้นไผ่ปฏิเสธ เงินที่ยื่นให้ตรงหน้าเธอมองว่ามันเยอะมากเกินไป
"รับไว้เถอะ" โจเซฟช่วยภรรยาพูดอีกแรง เงินแค่นี้สำหรับพวกเขาน้อยนิดมาก
"ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ" ต้นไผ่ปฏิเสธอีกครั้ง รถก็พังทั้งคัน ไหนคุณลุงยังต้องมานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีก พวกท่านคงต้องใช้เงินเยอะมากแน่ๆ
"อย่าปฏิเสธน้ำใจของป้าเลยนะ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ตอบแทนหนูบ้าง ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มีโอกาสตอบแทนคนดีๆอย่างหนูอีก" เพราะท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ การมาที่นี่แค่กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเท่านั้น
"ถ้าอย่างนั้นหนูรับไว้ก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ นี่ก็มืดแล้วหนูคงต้องขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วง" แม่ที่เธอพูดถึงก็คงจะเป็นคุณแม่ที่ดูแลเด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธออาศัยอยู่
"บ้านหนูอยู่ไหน แล้วจะกลับยังไง ให้คนของลุงไปส่งนะ"
"ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ" คุณโจเซฟพยักหน้าให้ลูกน้อง จากนั้นลูกน้องทั้งสองคนก็ก้มศีรษะให้แล้วพาต้นไผ่ไปส่งให้ที่บ้านอย่างปลอดภัย จากนั้นลูกน้องทั้งสองคนก็กลับมารายงานผู้เป็นเจ้านายตามสิ่งที่ได้ไปเห็นและไปรู้มา
"นายใหญ่ นายหญิงครับ พวกผมกลับมาแล้วครับ" คุณโจเซฟยังคงนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล คุณหมอยังไม่อนุญาตให้กลับ ถึงแม้ว่าท่านจะบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็ตาม
"ไปส่งเด็กคนนั้นถึงบ้านแล้วใช่มั้ย"
"ครับ...บ้านที่เธอว่าคือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าครับ" โจเซฟขยับคิ้วเข้าหากัน
"ไหนเธอบอกว่าอยู่บ้านกับแม่ไง"
"แม่ที่เธอพูดถึง คือคุณแม่ที่ดูแลเด็กๆในบ้านหลังนั้นครับ"
"เด็กดีๆแบบนี้ เธอน่าจะได้อะไรตอบแทนบ้างนะคะ คุณว่ามั้ย" โจเซฟรู้ว่าภรรยาของเขาเป็นคนจิตใจดีมีเมตตามากขนาดไหน แต่เด็กสาวคนนั้นไม่เหมาะกับที่โน้นหรอก
"ไม่ได้ ที่โน้นอันตรายมาก" คำพูดปฏิเสธของผู้เป็นสามี ทำให้คุณนิดายอมเงียบไป เพราะถ้าเขาบอกว่าไม่ก็คือไม่ คำไหนคำนั้น
ให้หลังไม่กี่ชั่วโมง มิเชลก็เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้วมาพาแด๊ดและมัมของเขากลับปารีสทันที