บทที่ 9ไม่พบใครทั้งนั้น
หมิงโร่เองคิดจะทำกล่องยาตามอย่างคนทั่วไป แต่กล่องยาที่ระบบการแพทย์เสนอให้ ทำมาจากโลหะผสม มีความแข็งแกร่งสูง มีน้ำหนักเบา มีการจัดวางพื้นที่ภายในที่เหมาะสม รวมไปถึงต้องมีรหัส ทั้งหมดสมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ จะดูอย่างไรก็ไม่ใช่ของที่ใช้กันในยุคนี้
หมิงโร่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเลือกชุดปฐมพยาบาลภาคสนาม ซึ่งทำมาจากผ้าใบ และด้านในก็แบ่งออกเป็นช่อง ๆ ใช้สำหรับใส่สายรัด แอลกอฮอล์ และอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น เธอนำเข็มเงินที่ตนเองใช้เป็นประจำ รวมไปถึงยาที่เตรียมไว้ให้ซือห้าวเฉิน ใส่เข้าไปด้านใน
หากต้องการใช้อะไรเป็นการเร่งด่วน สามารถนำออกมาจากระบบการแพทย์ได้ ส่วนกล่องยาใช้สำหรับบังหน้าก็พอแล้ว
ขณะที่เดินไปยังเรือนเหมย จือซูก็แนะนำลานสำคัญที่อยู่ในจวนให้กับหมิงโร่รู้จักไปพลาง : “ทางทิศตะวันออกคือสวนกล้วยไม้ เมื่อก่อนไม่มีใครอาศัยอยู่ จนกระทั่งเมื่อวาน ซื่อจื่อน้อยกลับมาที่จวน ใต้เท้าไป๋จึงจัดการให้ประทับอยู่ที่นี่เพคะ ส่วนทางทิศตะวันตกคือเรือนเบญจมาศขององค์ไท่เฟย ปกติแล้วองค์ไท่เฟยทรงประทับอยู่ในวังหลวง จึงมีเพียงแค่ช่วงขึ้นปีใหม่ที่จะกลับมาประทับเพคะ เรือนเหมยที่ท่านอ๋องประทับอยู่ คือตำหนักใหญ่ของจวน ตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของจวนพอดี......ดูสิเพคะ อยู่ตรงหน้าโน้น”
“เอ่อ......” มองตามทางที่จือซูชี้นิ้งไป หมิงโร่เห็นสิ่งก่อสร้างที่กว้างใหญ่และงดงามมาก มีคำสองคำผุดขึ้นมาในสมองทันที——ศาลาสีแดงสด หลังคายกสูง
ด้านหน้าประตูลานมีองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองคน ใบหน้าบ่งบอกว่าห้ามคนแปลกหน้าเข้าใกล้เด็ดขาด
จือซูรีบเดินตรงไปข้างหน้า : “พระชายาเสด็จมาฝังเข็มให้ท่านอ๋อง”
“พระชายา เชิญพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์กำหมัดขึ้นคารวะ
“ไม่ต้องมากพิธี” หมิงโร่เดินเข้าไปในเรือนเหมย ลานทั้งใหญ่และกว้างขวาง บนพื้นปูด้วยหินอ่อนสีขาว ภายในลานไม่มีการตกแต่งด้วยดอกไม้ มีเพียงสองฝั่งของตำหนักหลัก ที่มีต้นบ๊วยโค้งงอสองต้นปลูกอยู่
อะอีนำทางหมิงโร่ไปยังประตูห้องบรรทม แล้วยกมือขึ้นขวางทางจือซูเอาไว้ : “ท่านอ๋องไม่ชอบคนเยอะ”
“เจ้าจงรออยู่ที่นี่ก่อน” หมิงโร่รับถุงยามาจากมือของจือซู ที่จริงแล้วเธอเองก็ไม่ชอบถูกจับตามองในขณะทำงานเช่นกัน
“เจ้าค่ะ”
หมิงโร่เข้าไปในห้องบรรทม และรู้สึกพูดไม่ออก
หยุนชินอ๋องผู้นี้คงเป็นต้นแบบของความหรูหราอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงเครื่องใช้โบราณที่วิจิตรตระการตา ลำพังแค่หยกอุ่นที่ใช้ปูพื้น ก็คงประเมินค่าไม่ได้แล้ว
หมิงโร่เดินเข้าไปในห้อง เห็นซือห้าวเฉินนั่งพิงตัวอยู่ตรงหัวเตียง ในมือถือม้วนหนังสืออยู่ด้วยท่าทีผ่อนคลาย
มีชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบยืนก้มหน้าอยู่ที่ปลายเตียง รูปร่างผอมบางและมีผิวคล้ำ สวมใส่ชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้ม ตรงข้างเท้ามีกล่องยาวางอยู่หนึ่งใบ
หมิงโร่เลิกคิ้ว นี่คงเป็นเพราะกลัวว่าเธอจะลอบทำร้ายเขา จึงจงใจเรียกผู้เชี่ยวชาญมาจับตาดูอย่างนั้นหรือ ? ถ้าหากคิดจะลงมือกับเขาจริง ๆ หมิงโร่เชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่งว่า ต่อให้หาคนมาจับตาดูเพิ่มอีกสักสิบคน ตนเองก็สามารลงมือได้อยู่ดี
“ท่านอ๋อง พวกเรามาเริ่มกันเถอะ” หมิงโร่หยิบจานใบเล็ก ๆ ออกมา จากนั้นจึงหยิบผ้าก๊อซออกมาพับสองสามทบ แล้ววางลงบนจาน เทแอลกอฮอล์ลงไปบนผ้าก๊อซจนเปียกชุ่ม จากนั้นจึงเปิดกระเป๋าบรรจุเข็ม เข็มเงินที่สั้นยาวไม่เท่ากันก็ปรากฏออกมา
“พระชายา นี่ท่าน ?” หมอสวีมองขั้นตอนที่หมิงโร่ทำอย่างงุนงง
“ฆ่าเชื้อ” ถึงแม้หมิงโร่ไม่พอใจนัก แต่ก็ยังตอบคำถาม “ผู้สังเกตการณ์” เมื่ออาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ก็จำต้องก้มหัวอย่างไม่มีทางเลือกจริง ๆ เฮ้อ !
“ไม่ใช่ว่าควรใช้ไฟเผาหรอกหรือ ?” หมอสวีมองไม่ออกจริง ๆ ว่าผ้าก๊อซที่วางอยู่บนจานใช้ทำอะไร
“หากใช้ไฟเผาจะทำให้เกิดเขม่า” หมิงโร่ขี้เกียจแม้แต่จะกลอกตา
ปกติแล้ว เวลาที่ใช้ไฟเผาเข็มเงินหรือกริช จะทำให้เกิดคราบเขม่าขึ้นจริง ๆ หมอสวีจึงจำต้องปิดปากเงียบ
“ถอดเสื้อตัวบนของท่านอ๋องออก” หมิงโร่ใช้หลักการไม่ควรปล่อยใครให้อยู่ว่าง ๆ โดยเปล่าประโยชน์ จึงออกคำสั่งกับหมอสวี
เห็นได้ชัดว่าซือห้าวเฉินไม่ชอบให้ใครแตะต้องตัว จึงถอดเสื้อผ้าออกด้วยตนเอง เผยให้เห็นแผงอกที่กำยำ
หมิงโร่หยิบเข็มเงินขึ้นมาแล้วเช็ดบนผ้าก๊อซ แล้วเงยหน้าขึ้นมองหมอสวี : “ในขณะที่ฝังเข็ม ข้าจะใช้จุดฝังเข็มหลายจุดที่คนอื่นไม่นิยมใช้กันบ่อยนัก ไม่ว่าท่านมีข้อสงสัยอะไร ก็ห้ามขัดจังหวะข้าเด็ดขาด มิเช่นนั้น หากเกิดผลกระทบตามมา ท่านจะต้องรับผิดชอบ” หมิงโร่พูดย้ำ “เข้าใจไหม ?”
ตอนที่หมิงโร่พูดมีสีหน้าที่เคร่งขรึม สร้างความกดดันให้ผู้อื่นอย่างยิ่ง หมอสวีจึงขานรับโดยไม่รู้ตัว : “เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินหมอสวีตอบรับ หมิงโร่ก็เริ่มฝังเข็มทันที การเคลื่อนไหวของหมิงโร่รวดเร็วมาก ชั่วพริบตาเดียว บนหน้าอกของซือห้าวเฉินก็มีเข็มเงินฝังอยู่ทั้งสิ้นสามสิบหกเล่ม
การเคลื่อนไหวของหมิงโร่คล่องแคล่วว่องไว หมอสวีมองดูก็รู้สึกหวาดหวั่น หากไม่ใช่เพราะก่อนที่พระชายาจะฝังเข็มได้เอ่ยกำชับเอาไว้ เขาคงกระโดดเข้าไปขวางด้านหน้าท่านอ๋องแล้ว
จุดฝังเข็มที่คนอื่นไม่ค่อยใช้อะไรกัน นั่นมันจุดตายชัด ๆ !
นับตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้าไปในสำนัก ก็ถูกสั่งสอนมาอย่างเคร่งครัดว่า จุดฝังเข็มเหล่านี้สามารถใช้วิธีนวดกดจุดได้เท่านั้น ห้ามทำการฝังเข็มเด็ดขาด แต่พระชายาไม่เพียงแค่ฝังเข็ม แต่ยังฝังลงไปลึกมากอีกด้วย แต่ดูเหมือนท่านอ๋องกลับไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ จุดที่พระองค์ฝังเข็ม......”
“นี่คือ......” หมิงโร่เกือบหลุดปากเผยเคล็ดลับของตระกูลออกมา แต่เธอก็นึกออกในทันทีว่า ตอนนี้เธอเป็นคนของราชวงศ์หนานหรง ไม่ใช่คนของตระกูลแพทย์เสวียนอีกต่อไป “เรียนรู้มาจากนักบวชเต๋ารูปหนึ่ง”
“นักบวชเต๋ารูปไหน ?” ตอนนี้เอง หยุนชินอ๋องที่นิ่งเงียบราวกับกลัวว่าดอกพิกุลทองในปากก็ร่วงออกมา สุดท้ายก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“ข้าอาศัยอยู่ในวัดชิงหยุนกับเสด็จแม่ตั้งแต่เด็ก นักพรตเสวียนเจินที่อาศัยอยู่ภายในวัด นับได้ว่าเป็นแพทย์เทวดา”
หมิงโร่คาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ซือห้าวเฉินจะต้องซักถามเกี่ยวกับวิชาการแพทย์ของเธอแน่นอน เมื่อคืนตอนที่อยู่บนรถม้า เธอจึงพยายามทบทวนความทรงจำของร่างเดิมอย่างละเอียด พบว่าถึงแม้ร่างเดิมจะเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แต่กลับออกจากวังหลวงตั้งแต่เด็ก
เสด็จแม่ของร่างเดิมคือซูกุ้ยเฟย ตอนที่ร่างเดิมอายุได้สามขวบ ก็พาร่างเดิมไปใช้ชีวิตอยู่ที่วัดชิงหยุน ถึงจะพูดว่าทำเช่นนี้เพื่อขอพรให้แก่บ้านเมือง แต่อันที่จริงแล้วในขณะที่ซูกุ้ยเฟยตั้งท้องถูกคนวางยาพิษ ฮ่องเต้หนานหรงจึงเชิญให้นักพรตเสวียนเจินเป็นผู้ให้การช่วยเหลือ หลังจากให้กำเนิดร่างเดิมออกมาอย่างยากลำบากแล้ว ทำให้สุขภาพยิ่งเลวร้ายลง จึงจำต้องพักรักษาตัวที่วัดชิงหยุนอยู่บ่อยครั้ง
ส่วนร่างเดิมเมื่อมีเวลาว่าง ถึงแม้จะเคยอ่านตำราแพทย์มาหลายเล่ม แต่กลับไม่มีทักษะด้านการแพทย์ ปกติแล้วการติดต่อพบปะกับนักพรตเสวียนเจินรูปนั้น ก็เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับอาการป่วยของเสด็จแม่เท่านั้น
นักพรตเสวียนเจินเสียชีวิตลงเมื่อปีที่แล้ว หมิงโร่คิดว่าตนเองสามารถบอกเล่าความจริงเกี่ยวกับท่านนักพรตรูปนั้นได้ ต่อให้ซือห้าวเฉินไม่เชื่อ และไปสืบหาความจริง ก็ย่อมไม่มีหลักฐานใด ๆ หลงเหลือ
“เจ้าเป็นศิษย์ของแพทย์เทวดาท่านนั้นหรือ ?” เนื่องจากโรคหัวใจที่เขาเป็นอยู่ ทำให้ซือห้าวเฉินรู้จักแพทย์เทวดาทั่วทั้งสี่แคว้น นักพรตเสวียนเจินรูปนี้ถูกขนานนามว่าเป็นแพทย์เทวดา มีชื่อเสียงโด่งดังในหนานหรงเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านนักพรตรับเพียงศิษย์เข้าศึกษาลัทธิเต๋า ไม่รับศิษย์เข้าศึกษาวิชาแพทย์ ข้าก็เพียงแค่เคยได้รับคำชี้แนะจากท่านนักพรตมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ในความทรงจำของร่างเดิม มีหลายคนที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านนักพรตเพื่อต้องการเรียนรู้วิชาแพทย์ แต่นักพรตเสวียนเจินกลับไม่เคยรับลูกศิษย์มาก่อน
“อืม” ซือห้าวเฉินหลับตาลง แสดงให้เห็นว่าจบการสนทนาในครั้งนี้
หมิงโร่ยกก้าอี้มาหนึ่งตัวแล้วนั่งลง ทุก ๆ สิบห้านาที จะขยับเข็มเงินทุกเล่มหนึ่งครั้ง
ภายในตำหนักรองของเรือนเบญจมาศ มีหญิงสาวอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง กำลังเอนตัวอยู่บนตั่งนุ่ม มีสาวใช้ยืนพัดให้นางอยู่ทางด้านหลัง มีสาวใช้กำลังคุกเข่าอยู่ข้างตั่งทางด้านหน้า กำลังปอกเปลือกองุ่นทีละลูก ๆ อย่างระมัดระวัง แล้วใช้ไม้เสียงเงินขนาดเล็กแคะเมล็ดออก แล้ววางลงบนจานหยกใบเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างมือของหญิงสาว
ตอนนี้เอง มีสาวใช้ที่แต่งกายงดงามดินเข้ามา แล้วก้มลงกระซิบข้างหูของหญิงสาว : “องค์หญิงหนานหรงพระองค์นั้นเข้าไปในเรือนเหมยเพคะ......”
“ท่านพี่ทรงประชวรไม่ใช่หรือ ไม่ให้ใครเข้าพบไม่ใช่หรืออย่างไร ?” หญิงสาวลืมตาขึ้นเล็กน้อย รู้สึกเหมือนว่าองุ่นที่เคี้ยวอยู่ในปากจะมีรสชาติที่เปรี้ยวขึ้นมาทันใด
ตอนที่หยุนชินอ๋องกลับมาถึงจวน นางได้เตรียมซุปโสมและอาหารว่างเพื่อนำไปที่เรือนเหมย อย่าว่าแต่จะได้พบหน้าผู้เป็นพี่ชายเลย แม้กระทั่งประตูใหญ่ของเรือนเหมยยังไม่มีโอกาสได้เห็น เดินไปเพียงแค่ครึ่งทางก็ถูกพ่อบ้านโจวขวางเอาไว้ บอกว่าท่านอ๋องต้องการพักผ่อนอย่างสงบ ไม่พบใครทั้งนั้น