บทที่ 2 ใช้ความสวยช่วยชีวิตสักหน่อย
ส่วนที่ทำให้เธอรู้สึกพอใจที่สุดบนใบหน้าก็คือดวงตาคู่นี้ ทั้งชัดเจนและสดใสคล้ายกับดวงตาของเธอมาก ตอนเรียนมหาวิทยาลัย มีคนเขียนจดหมายรักถึงเธอ บอกว่าดวงตาของเธอเต็มไปด้วยดวงดาวและน้ำค้างยามเช้า แม้ว่าจะบรรยายเกินจริงไปเล็กน้อย แต่ดวงตาของเธอก็สวยมากจริงๆ
หมิงโร่ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้า เอ่อ......ผลลัพธ์ที่ได้ กลับน่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก
เธอถอดใจอย่างสมบูรณ์ โยนกระจกที่อยู่ในมือลง พับผ้าคลุมหน้าสีแดง แล้วปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงแค่ดวงตาทั้งสองข้าง
ความมืดมิดที่ปราศจากแสง หากทำให้คนอื่นตกใจ เธอเองก็ไม่รู้สึกเป็นกังวลนัก แต่หากทำให้ตนเองต้องตกใจโดยไม่ทันระวัง คงจะไม่ใช่เรื่องคุ้มค่า
หมิงโร่เดินไปที่ประตู แล้วค่อย ๆ ผลักออกเบาๆ
การตกแต่งภายนอกดูวิจิตรงดงามยิ่งกว่า วัตถุที่ใหญ่ที่สุดคือโลงศพลงยาสีดำที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง
หมิงโร่เกิดในตระกูลขุนนางแพทย์เสวียน จึงไม่รู้สึกกลัวภูตผีวิญญาณนัก ดั่งคำกล่าวที่ว่า : คนดีผีคุ้ม
เธอยกชายกระโปรงขึ้น แล้วเดินก้าวไปด้านหน้า สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจก็คือ โลงศพถูกปิดเอาไว้เพียงแค่ครึ่งเดียว----
ชายที่อยู่ในโลงศพสวมมงกุฎสีม่วงขลิบทอง สวมชุดคลุมลายมังกรสีดำ มีสลักรูปมังกรและกระบี่ประดับอยู่ที่เอว ใบหน้างดงามราวกับหยก ช่างดูสง่างามและโดดเด่นจริง ๆ
นี่คือหยุนชิงอ๋องคนนั้นหรือ ?
เฮ้อ หน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้กลับต้องมาตายตั้งแต่อายุยังน้อย หรือว่า......สวรรค์จะอิจฉาในความงดงามนี้ ?
“ลักษณะโหงวเฮ้งบนใบหน้าสมบูรณ์แบบ......หน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ จะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่น่าจะอายุสั้น......” ถึงแม้การทำนายชะตาจากใบหน้าของหมิงโร่ จะได้รับการตกทอดมาจากพ่อของเธอไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พอจะทำนายคร่าว ๆ ได้บ้าง
สีหน้าเช่นนี้ก็ดูไม่เหมือนคนที่ตายไปแล้ว ในความทรงจำบอกว่า หยุนชินอ๋องโรคหัวใจกำเริบ แต่ดูจากสภาพร่างกายแล้ว กลับไม่เหมือนคนที่ป่วยหนัก......
โลงศพมีขนาดใหญ่และสูงมาก ถึงแม้หมิงโร่จะโน้มตัวลงไปกว่าครึ่ง ก็ยังไม่อาจสัมผัสถึงตัวของคนคนนั้นได้
เธอถอนหายใจ จำต้องม้วนชายกระโปรงขึ้นโดยไม่มีทางเลือก แล้วปีนป่าย (หล่น) เข้าไปในโลงศพอย่างทุลักทุเล
“โอ๊ย.....” ทันทีที่เข้าไปในโลงศพ หมิงโร่ก็หล่นลงไปบนร่างที่นอนอยู่
ไม่ใช่เพราะเธอเสียสมดุล แต่เป็นเพราะภายในโลงศพ บรรจุไข่มุกตะวันออกอยู่เต็มไปหมด ทำให้ไม่สามารถยืนอย่างมั่นคงได้
หมิงโร่รีบปีนขึ้นมา พนมมือทั้งสองข้าง “ขอโทษด้วยจริง ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกิน คุณหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ฉันว่ายังพอช่วยชีวิตได้ หากช่วยชีวิตไว้ได้ คุณก็ไม่ต้องตาย ฉันเองก็ไม่ต้องถูกสังเวยชีวิตทั้งเป็น ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย......”
หมิงโร่คิดว่า การช่วยหยุนชินอ๋องถือเป็นทางรอดเดียวที่มี
ร่างเดิมคือพระชายาที่ต้องถูกฝังเพื่อสังเวยไปพร้อมกับเขา หากเขาตาย ต่อให้หนีไปสุดขอบฟ้าก็ต้องถูกจับกลับมาอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น หมิงโร่เองก็ไม่มีความมั่นใจที่จะก้าวออกจากวังแห่งนี้ตามลำพัง สุสานลักษณะนี้ คาดเดาไม่ได้เลยว่าจะมีกับดักรอซุ่มโจมตีตนเองอยู่มากน้อยเพียงใด
หมิงโร่ยืนมือออกไปจับชีพจร ไม่อาจสัมผัสได้ถึงสัญญาณชีพแม้แต่น้อย แต่ผิวหนังบริเวณข้อมือ หรือแม้กระทั่งข้อต่อต่าง ๆ ยังคงอ่อนนุ่ม นี่ไม่ใช่สภาพที่ศพพึงจะมี
เธอเปิดระบบการแพทย์ที่ฝังอยู่ในระบบประสาทส่วนกลางโดยไม่รู้ตัว แต่ร่างกายนี้เป็นร่างกายที่เธอสิงสถิตอยู่ ระบบการแพทย์นั้นจึงไม่น่าจะใช้ได้ ?
ถือว่าสวรรค์ยังคงไม่ทอดทิ้งเธอ ถึงแม้ระบบการแพทย์จะดูผิดปกติไปเล็กน้อยก็ตาม ส่วนจะเป็นจุดไหนที่ผิดปกติไปนั้น ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้ แต่โชคยังดีที่สามารถใช้งานได้
หลังจากการตรวจวินิจฉัย หนุ่มรูปงามคนนี้ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ แต่สัญญาณชีพเต้นอ่อนมาก อาการร้ายแรงของโรคอยู่ตรงหัวใจ----ไม่ใช่โรคหัวใจธรรมดา ๆ แต่เป็นโรคสิ่งแปลกปลอมอุดตันหัวใจ
เมื่อดูจากภาพสแกน MRI เป็นวัตถุโลหะทรงกรวยหนึ่งชิ้น อีกทั้งยังเป็นรอยบาดแผลเก่า วัตถุโลหะถูกของบางอย่างพันอยู่โดยรอบ ทำให้หัวใจได้รับการปกป้อง มิฉะนั้นชายคนนี้คงจะตายไปนานแล้ว
ตอนนี้อาการของผู้ป่วยไม่สู้ดีนัก แต่ก็ใช่ว่าจะช่วยไม่ได้
จะต้องช่วยให้คนผู้นี้ ฟื้นขึ้นมาให้ได้เสียก่อน เมื่อร่างกายฟื้นฟูเข้าสู่สภาพที่สามารถทำการผ่าตัดได้ การนำสิ่งแปลกปลอมออกมา ถือเป็นแผนการรักษาที่ดีที่สุด
แต่ขั้นแรกที่ต้องทำ ถือว่ายากมาก
หมิงโร่สูดหายใจเข้า แล้วเริ่มปั๊มหัวใจ
โชคยังดีที่มีระบบการแพทย์คอยอยู่เคียงข้างเธอ มิฉะนั้นต่อให้ทักษะทางการแพทย์ของเธอจะยอดเยี่ยมเพียงใด ก็ยังยากพอ ๆ กับการหุงข้าวโดยไร้ข้าวสารอยู่ดี
หลังจากฉีดยากระตุ้นหัวใจแล้ว หมิงโร่ก็ทำการปั๊มหัวใจต่อ เหงื่อที่ไหลอาบบนหน้าผาก ค่อย ๆ หยดลงมาบนเสื้อผ้าของชายหนุ่ม และกดมือลงเพื่อปั๊มหัวใจอีกครั้ง
“ขอร้องล่ะ ช่วยตอบสนองหน่อยสิ......”
เสียงดังฉึบ กระบี่ยาวพาดอยู่ใต้คอของหมิงโร่
การเคลื่อนไหวของหมิงโร่หยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของชายหนุ่ม แล้วพบเข้ากับดวงตาที่เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง
ในขณะที่หมดสติอยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มก็ช่างงดงามชวนหลงใหล ทำให้อดไม่ได้ที่จะหันมองหลายครั้ง หลังจากได้สติแล้ว แววตาที่เย็นตากลับยิ่งดูน่าทึ่ง เพียงแต่ประกายของความดุดันนั้นรุนแรงเกินไป จนทำให้ไม่กล้าที่จะสบตา
หมิงโร่กลั้นหายใจอยู่ในลำคอ ด้วยสัญชาตญาณทำให้เธอรู้ว่า หากกระบี่ขยับเข้ามาใกล้เธออีกเพียงปลายนิ้ว เธอคงต้องเลือดสาดกระเซ็นอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน
โชคดีที่ผ่านการฝึกฝนทางการแพทย์มาหลายปีทำให้จิตใจมั่นคง หมิงโร่ผงะไปเพียงครู่เดียว ก็เอ่ยปากขึ้นอย่างสงบว่า : “ตอนนี้ท่านมีภาวะหัวใจล้มเหลว หากฝืนใช้แรงจะทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันอีกครั้ง ถึงตอนนั้นแม้แต่เทวดาก็ช่วยไม่ได้อีกแล้ว......”
ซือห้าวเฉินไม่เข้าใจคำว่าภาวะหัวใจล้มเหลว หรือคำว่าหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน แต่ประโยคสุดท้ายเขาเข้าใจดี ข้อมืออ่อนแรง กระบี่ยาวหล่นเข้าไปในโลงดังแกร๊ง จากนั้นก็เกิดเสียงไออย่างรุนแรงดังขึ้น
สีหน้าของหมิงโร่เปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบหยิบเข็มเงินออกมา แล้วฝังลงไปบนจุดสำคัญเพื่อปกป้องชีพจรหัวใจ จากนั้นจึงเทยากระตุ้นหัวใจชนิดออกฤทธิ์เร็ว ยื่นเข้าไปที่ข้างปากของซือห้าวเฉิน : “อมเอาไว้ใต้ลิ้น ห้ามกลืนลงไปในคราวเดียว”
ซือห้าวเฉินไม่ยอมเปิดปาก ดวงตาเรียวยาวของเขาปิดลงเล็กน้อย
ให้ชีวิตในราชสำนักมายี่สิบกว่าปี แม้กระทั่งคนใกล้ตัวก็ยังต้องคอยระมัดระวังอยู่เสมอ นับประสาอะไรกับคนแปลกหน้า
“หากข้าคิดจะทำร้ายท่านจริง ๆ นั่งมองดูท่านตายไปเฉย ๆ โดยไม่ช่วยอะไรก็ย่อมได้ ทำไมจะต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้ด้วย......”
หมิงโร่ไม่ใช่คนใจเย็นนัก ต่อให้เป็นผู้ป่วยที่ดื้อดึงแค่ไหน เมื่ออยู่ในมือเธอล้วนต้องเชื่อฟัง วันนี้ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เอากระบี่มาจ่อที่คอของเธอก่อน ตอนนี้กลับยังไม่ให้ความร่วมมือกับการรักษาอีก อยากจะปล่อยให้ตายไปเสียโดยไม่ต้องช่วยจริง ๆ !
“วิชาเข็มควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้แล้ว”
โรคหัวใจนี้ทรมานเขามาเป็นเวลาสามปีเต็ม ทุกสองถึงสามเดือนจะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ถึงแม้ซือห้าวเฉินจะยังไม่รู้จักอาการของโรคได้ดีเท่าคนเป็นแพทย์ แต่อาการทุเลาลงหรือไม่นั้น เขาเองก็พอจะรู้ดี
ลำพังเพียงแค่วิชาเข็ม ผู้หญิงคนนี้ไม่ถือว่าด้อยไปกว่าหมอเทวดาเซวเลย หากเป็นวิชาแพทย์ เห็นได้ชัดว่าจะต้องเหนือกว่าอย่างแน่นอน
ด้วยอาการของเขาเมื่อครู่ หมอเทวดาเซวไม่เพียงแต่ต้องใช้วิธีฝังเข็มอาบยาเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยคนอื่นใช้พลังลมปราณเพื่อกระตุ้นชีพจรให้กับเขา
หมิงโร่ใช้ความว่องไว อาศัยจังหวะที่เขาอ้าปากพูด สอดยากระตุ้นหัวใจสองสามเม็ดเข้าไปในปากของซือห้าวเฉิน : “อมเอาไว้”
ซือห้าวเฉินสำลักไปครู่หนึ่ง แล้วจ้องหมิงโร่ตาเขม็ง----ผู้หญิงคนนี้อยากให้เขาสำลักตายหรืออย่างไร ?
แต่ทว่าเมื่อรสขมในปากค่อย ๆ จางหายไป ความเจ็บปวดตรงหัวใจก็ค่อย ๆ คลายลงเช่นกัน อาการจุกเสียดหน้าอกก็ทุเลาลง
หมิงโร่แสร้งทำเป็นตรวจชีพจรให้ซือห้าวเฉิน แต่อันที่จริงแล้วกำลังใช้ระบบการแพทย์ตรวจสอบดูอีกหนึ่งรอบ
ร่างกายของผู้ชายคนนี้มีความพิเศษจริง ๆ เพิ่มได้รับการช่วยเหลือให้ฟื้นขึ้นมา ก็สามารถฟื้นฟูได้ถึงระดับนี้ ถือได้ว่าน่าประหลาดใจไม่น้อย
แต่ว่า ดูเหมือนน้ำตาลในเลือดยังต่ำเกินไป : “ยังรู้สึกเวียนหัวอยู่ไหม ?”
“อืม” ซือห้าวเฉินขานรับหนึ่งคำ
“รอเดี๋ยวนะ” หมิงโร่ปีนออกจากโลงศพ แล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
หยิบถ้วยชาที่ใช้ฝังพร้อมกับศพขึ้นมาสองสามใบ เมื่อเห็นว่าไม่สกปรก จึงเปิดขวดกลูโคส แล้วรินจนเต็มแก้ว
การปั๊มหัวใจครั้งนี้ก็เกือบทำให้ตนเองต้องเป็นลม จึงรีบดื่มจนหมดไปหนึ่งแก้ว แล้วรินออกมาอีกหนึ่งแก้ว
ปกติแล้วหมิงโร่เป็นคนละเอียดลออ ขวดที่ใส่กลูโคสขวดนั้น อันที่จริงไม่ควรจะมาปรากฏขึ้นในยุคนี้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้นำปัญหามาสู่ตนเอง จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มาก
จึงโยนขวดเปล่ากลับเข้าไปในถังขยะรีไซเคิลของระบบ แล้วค่อยปีนกลับเข้าไปในโลงศพ
ซือห้าวเฉินลุกขึ้นพิงตัวอยู่ในโลงศพ ดวงตาดำขลับจ้องเขม็งไปยังหมิงโร่ที่ค่อย ๆ เดินใกล้เข้ามา
หมิงโร่ยื่นแก้วให้เขา ซือห้าวเฉินรับมาแล้วดื่มลงไปหลายอึก