บทที่ 1 ฝังทั้งเป็น
ณ กรุงตงเหิง กลางดึกที่ทุกสิ่งเงียบสงัด
ประตูใหญ่ของจวนหยุนชินอ๋องค่อย ๆ เปิดออก พ่อบ้านโจวยี่พาคนรับใช้สองคนก้าวขึ้นไปบนบันได ปลดโคมเคลือบของพระราชวังทั้งสองฝั่งออกมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วแทนที่ด้วยโคมไฟสีขาวธรรมดาสองดวง......
ในเวลาเดียวกันนี้ ภายในเรือนไผ่ที่อยู่ตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงได้ของจวน กลับประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสี ตำหนักใหญ่เงียบจนน่าประหลาดใจ เทียนคู่หงส์มังกรค่อย ๆ สาดแสงไปยังผ้าม่านสีแดงสด จนเกิดประกายระยิบระยับ
เหยียนหมิงโร่ องค์หญิงหงสาแห่งหนานหรง สวมมงกุฎหงส์ ประดับด้วยมุกมรกต ถูกมัดอย่างแน่นหนาแล้วโยนลงบนเตียง นางลืมตาจ้องมองเพดานด้วยความหวาดกลัว น้ำตาหยดลงมาราวกับไข่มุกที่ขาดกระเด็นออกจากสาย ไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างลงมา ต่อเนื่องไปจนถึงด้านหลังคอจนเปียกชุ่ม
เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามา เสียงประตูเปิดออกดังเอี๊ยด
รู้สึกราวกับอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ องค์หญิงหงสาที่มีนิสัยอ่อนแอจึงรู้สึกตกใจกลัวสุดขีด ร่างกายสั่นเทา กัดริมฝีปากแดงระเรื่อเอาไว้แน่น ไม่กล้าปริปากส่งเสียง
“จางกงกง ต้องยกเสลี่ยงมาหรือไม่ขอรับ” ขันทีผู้น้อยคนหนึ่งเอ่ยถาม
เสียงแหลมของจางจินเลี่ยง ราวกับกำลังใช้เล็บมือครูดลงบนเครื่องลายคราม : “มีเวลาใช้เสลี่ยงที่ไหนกัน ท่านอ๋องอยู่ในโลงศพแล้ว รีบหามคนไปเร็วเข้า......”
องค์หญิงหงสาถูกขันทีที่มีพละกำลังแบกขึ้นบนบ่า แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่เต็มใจ เริ่มดิ้นรนอย่างสุดกำลังและตะโกนเสียงดัง : “พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ......ข้าคือองค์หญิงแห่งหนานหรง......พวกเจ้าไม่สามารถ......”
“องค์หญิงทรงเดินทางโดยสวัสดิภาพ พวกเราไปส่งท่านแล้ว !” จางจินเลี่ยงยกหมอนลายครามขึ้นมา แล้วฟาดลงที่ท้ายทอยขององค์หญิงหงสาอย่างแรง องค์หญิงหงสานิ่งเงียบไปทันที
“ใต้เท้าราชครูกล่าวว่าจะเสียเวลาไม่ได้ เคลื่อนไหวให้คล่องแคล่วกันหน่อย !” น้ำเสียงของจางจินเลี่ยงยิ่งแหลมสูงขึ้นอีกหลายระดับ “ส่งเสด็จท่านอ๋องและพระชายาขึ้นรถ”
คนรับใช้และผู้ติดตามทั่วทั้งจวนต่างคุกเข่าลง มองดูขบวนส่งพระศพอันยิ่งใหญ่เคลื่อนผ่านถนนของเมืองหลวงในเวลาเที่ยงคืน ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่พร้อมเพรียงกันของเหล่าทหาร ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกน่าเกรงขามจนยากจะพรรณนา
สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมืองหลวงตงเหิงเป็นหอที่สูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่ง มีชื่อว่าหอโอบจันทรา
มีชายรูปร่างผอมเพรียวยืนอยู่บนแท่นขนาดใหญ่ สายลมยามค่ำคืนพัดเสื้อคลุมและแขนเสื้อของเขาโบกสะบัด ราวกับจะโบยบินไปได้ทุกเมื่อ
มีแสงสว่างพาดผ่านท้องฟ้า กระทบเข้ากับเขาเหมยหลีที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง จากนั้นกลุ่มดาวที่เดิมทีมืดสลัว ก็ส่องแสงสว่างขึ้นมา
เกิดความแปรปรวนขึ้นในแววตานิ่งสงบของชายชุดขาว จากนั้นก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง
หมิงโร่ค่อย ๆ ฟื้นคืนสติกลับมา ความทรงจำสุดท้ายคือถูกผู้ช่วยทดลองผลักเข้าไปในกองไฟร้อนระอุขนาดใหญ่ เปลวไฟแผดเผาผิวหนังจนปวดแสบปวดร้อนไปทั่วร่างกาย ราวกับว่าจะได้กลิ่นของผิวหนังที่ไหม้เกรียม
“แพทย์หมิง ฉันทำงานหนักเพื่อคุณมาสองปีเต็ม ๆ คุณช่วยตายแทนฉันเถอะนะ !”
“โอ๊ย......” หมิงโร่กรีดร้องออกมา ภาพตรงหน้ามืดดับลง ท้ายทอยของนางเต้นตุบ ๆ ด้วยความเจ็บปวด
เธอเป็นทายาทของตระกูลขุนนางแพทย์เสวียน เมื่ออายุได้สามขวบก็ถูกผู้เป็นปู่บังคับให้ท่องตำราแพทย์ร้อยแปด และถูกขนานนามอย่างทรงเกียรติว่า เป็นแพทย์แผนจีนโบราณด้วยวัยเพียงสิบสองปีเท่านั้น
เนื่องจากถูกแพทย์แผนจีนกดดันมาตั้งแต่ยังเด็ก มีเข้ามหาวิทยาลัยจึงกบฏโดยการเลือกเรียกแผนกศัลยกรรม ตอนเรียนอยู่ระดับปริญญาโท สามารถทำการผ่าตัดใหญ่ได้สำเร็จ ถูกขนานนามว่าเป็นแพทย์ศัลยกรรมเหรียญทอง “มือนางฟ้า”
หมิงโร่มีพรสวรรค์ด้านการแพทย์ ถูกคณะส่งไปยังประเทศMเพื่อเข้าร่วมโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของPSK มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจการผสมผสานทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของแพทย์และระบบการแพทย์ที่ทรงพลัง สร้างแพทย์หนึ่งคนให้กลายเป็นทีมแพทย์ที่มีความสามารถรอบด้าน เพื่อรักษาพยาบาลเจ้าหน้าที่บนสถานีอวกาศ
หมิงโร่ผ่านการทดสอบทีละขั้น ๆ ได้รับสิทธิ์เดินทางไปสถานีอวกาศเพื่อปฏิบัติการทางคลินิก
คืนก่อนวันเดินทาง จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้ช่วยทดลอง กล่าวว่ามีภารกิจเร่งด่วน ต้องการให้หมิงโร่ออกเดินทางทันที
เธอซึ่งทำงานในสถาบันวิจัยมากว่าสองปี จึงไม่รู้สึกแปลกใจกับภารกิจเร่งด่วนเช่นนี้ เธอเคยให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์กับกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ มามากมาย ถึงกระทั่งว่าเคยไปในป่าดึกดำบรรพ์ รวมไปถึงสนามรบที่เต็มไปด้วยกระสุนปืนมาแล้ว
เมื่อนึกย้อนกลับไป หมิงโร่จำได้เพียงว่าได้เข้าไปในรถของผู้ช่วยทดลอง......หลังจากนั้นเธอก็ถูกผลักลงไปในทะเลเพลิง ความเจ็บปวดแลกมาซึ่งความตระหนักรู้ในทันที
เห็นได้ชัดว่าเธอถูกทรยศโดยผู้ช่วยทดลองขอตนเอง แต่ที่น่าตลกก็คือ กลับไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเธอถึงฆ่าตนเอง
เศษความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยมากมายกระจัดกระจายอยู่ในสมอง ไม่เพียงแต่ทำให้เวียนหัวทำนั้น ยังทำให้รู้สึกปวดหัวมากขึ้นอีกด้วย----
องค์ชายสามแห่งตงเหิง แต่งงานกับองค์หญิงหงสาแห่งหนานหรง การแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศ ระหว่างทางขบวนแต่งงานพบกับภัยพิบัติน้ำท่วม ทำให้เส้นทางถูกตัดขาด สะพานหักชำรุด จนพลาดการแต่งงานไป เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวง จึงจำต้องรอให้ตงเหิงกำหนดฤกษ์มงคลในการแต่งงานใหม่อีกครั้ง
ข้าหลวงหญิงในจวนองค์ชายสาม นำของบำรุงมาให้ที่เรือนรับรองเพื่อเป็นการปลอบขวัญ ข้าหลวงหญิงกลับจวนไปรายงานว่า----องค์หญิงหงสาหน้าตาอัปลักษณ์......องค์ชายสามจึงปฏิเสธการแต่งงานอย่างเด็ดขาด องค์หญิงหงสาจึงทำได้เพียงพักอยู่ในเรือนรับรอง จะเข้าออกล้วนยากลำบาก......
เจ็ดวันให้หลัง จักรพรรดิตงเหิงมีพระบรมราชโองการลงมาจากวังหลวง ให้องค์หญิงหงสาแห่งหนานหรงอภิเษกกับหยุนชินอ๋อง
ในสายตาของคนนอก การแต่งงานในครั้งนี้ย่อมดียิ่งกว่าการแต่งงานกับองค์ชายสามอย่างแน่นอน----หยุนชินอ๋องเป็นอ๋องเพียงผู้เดียวในตงเหิงที่อยู่สูงกว่าขั้นหนึ่ง มีทหารที่เก่งกาจอยู่ในมือมากมาย แม้แต่จักรพรรดิเองยังต้องยำเกรง
แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า หยุนชินอ๋องเป็นโรคหัวใจกำเริบ และตอนนี้เขาก็กำลังจะตาย
วันแต่งงาน ประตูของจวนหยุนชินอ๋องถูกประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสี องค์หญิงหงสาเข้ามาในจวนผ่านทางประตูใหญ่ พร้อมด้วยขบวนสินสอดที่ยาวกว่าสิบลี้ เสียงของประตูจวนปิดลงดังปัง บรรยากาศในจวนดูน่าเกรงขาม ไม่มีแขกมาร่วมงานแม้แต่คนเดียว
บรรดาเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงต่างลือกันว่า----ฮ่องเต้ตานซู่สงสารน้องชายคนสุดท้อง จึงรีบสู่ขอพระชายาให้กับเขาหนึ่งคนเพื่อเป็นการแก้เคล็ด และมีบางคนคาดเดาว่า หยุนชินอ๋องคงใกล้สิ้นลมเต็มที การแก้เคล็ดคงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ท่สู่ขอพระชายาผู้นี่เข้ามา คงเพื่อใช้ฝังทั้งเป็น
อย่างไรเสียในราชวงศ์ตงเหิงก็มีธรรมเนียมฝังคนเป็นเพื่อสังเวยชีวิต หยุนชิงอ๋องเองก็ยังไม่มีพระชายา......
หมิงโร่รู้สึกขึ้นทันที ว่าองค์หญิงหงสาผู้นี้ลำบากกว่าตนเองเสียอีก เดี๋ยวสิ ข้อมูลเหล่านี้ล้วนอยู่ในสมองของตนเอง......คงไม่โชคดีขนาดนี้หรอกใช่ไหม ?
หมิงโร่ค่อย ๆ ลุกขึ้น ก้มหน้าลงมองชุดแต่งงานที่ตนเองสวมใส่อยู่ เธอยื่นมือออกไปข้างหน้า บนนิ้วมือเรียวยาวและขาวนวลของเธอ มีแหวนทับทิมสวมอยู่หนึ่งวง เล็บถูกทาทับด้วยสีแดงสด
ด้วยอาชีพที่ทำอยู่ เธอจึงไม่เคยทำสีเล็บมาก่อน มือทั้งสองข้างนี้ไม่ใช่ของเธอ แต่เธอกลับควบคุมพวกมันได้......
นี่สวรรค์กำลังเล่นตลกกับเธออยู่ใช่ไหม ? นี่เธอข้ามกาลเวลามาอย่างนั้นหรือ ?
เอาล่ะ ข้ามเวลาก็ช่าง แต่ยังข้ามกลับมาอยู่ในร่างขององค์หญิงที่กำลังจะถูกฝังทั้งเป็นเพื่อใช้สังเวยอีก
สวรรค์ลงทุนขนาดนี้ เพื่อให้เธอข้ามเวลามาตายซ้ำอีกครั้งอย่างนั้นหรือ หรือต้องการให้เธอรู้ว่า บนโลกใบนี้มีคนที่ลำบากอยู่มาก ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ?
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็ไม่อาจปลอบขวัญจิตใจที่แตกสลายของเธอได้หรอก !
หมิงโร่ถอดมงกุฎหนักอึ้งที่สวมอยู่บนหัวออก แล้วโยนลงด้านข้าง จากนั้นจึงเปิดผ้าคลุมหน้าแล้วลุกลงจากเตียง
ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นห้องนอน เครื่องใช้ภายในห้องล้วนประณีตงดงาม มีไข่มุกราตรีขนาดเท่ากำปั้นห้อยลงมาจากมุมทั้งสี่ของห้อง แสงสว่างไม่เพียงพอนัก แต่ก็ไม่ถือว่ากระทบต่อความสามารถในการมองเห็น
เมื่อนึกถึงร่างขององค์หญิงเก้า ที่ถูกปฏิเสธการแต่งงานเพราะความอัปลักษณ์ ที่ตนเองกำลังสิงอยู่ในขณะนี้ หมิงโร่ก็รีบเดินตรงที่กระจกทันที
เธอเป็นคนรักสวยรักงามนะ หวังว่าจะไม่อัปลักษณ์จนตนเองต้องรู้สึกรังเกียจก็พอ !
หมิงโร่หยิบกระจกดอกกระจับที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมา ปิดตาและแอบให้กำลังใจตนเอง เทคนิคในการแต่งหน้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเวทมนตร์ทั้งสี่ ตนเองก็พอมีความรู้อยู่บ้าง ขอเพียงพื้นฐานไม่เลวร้ายมากนัก ก็น่าจะยังพอช่วยแก้ไขได้บ้าง......นะ ?
หมิงโร่สูดหายใจเข้าแล้วลืมตาขึ้น
“กรี๊ด......กรี๊ด......กรี๊ด......ผี !”
กระจกในมือหล่นกระแทกพื้น หมิงโร่เอามือทาบอกของตนเอง แม้แต่คนตายยังต้องตกใจจนฟื้นเลย !
หมิงโร่โน้มตัวลง แล้วเก็บกระจกขึ้นมา ใครเป็นคนแต่งหน้าให้ตนเองกันเนี่ย ?
ชาดสีแดงถูกทาเป็นวงอยู่บนแก้มที่ซีดเผือดทั้งสองข้าง คิ้วหนายิ่งกว่าคิ้วของชินจัง ที่น่ากลัวที่สุดก็คือริมฝีปากที่ดูเหมือนกระอักเลือด ยากที่ทำใจมองได้จริง ๆ