บทที่3 ข้อตกลง
เสิ่นเยว่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรตั้งแต่ที่นางรู้ว่าตนเองจะต้องแต่งงานกับคนแปลกหน้า นางก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องแสดงอาการต่อต้านออกมาแต่เสิ่นฮูหยินไหนเลยจะสนใจ การแต่งงานนี้ถูกเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้วถึงนางไม่ยอมก็ต้องยอม เจ้าของงานอย่างเสิ่นเยว่เอาแต่หลบอยู่ในห้องไม่สนใจที่จะจัดการเรื่องของตนเองนางต้องการให้ทุกคนรู้ว่านาไม่ยินยอมที่จะแต่งงานในครั้งนี้
เสิ่นฮูหยินรู้จักนิสัยบุตรสาวของนางดีตั้งแต่เล็กเสิ่นเยว่ที่เหมือนจะดูเรียบร้อยอ่อนหวานแต่นางกลับเป็นคนหัวแข็งไม่ยอมใคร นิสัยเช่นเดียวกับเสิ่นฮูหยินเหมือนเคาะกันออกมา แต่ยิ่งคนที่นิสัยเหมือนกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ค่อยถูกกันเท่านั้น เสิ่นเยว่มักจะออดอ้อนมหาเสนาบดีเสิ่นผู้เป็นบิดาอยู่ตลอดเมื่อต้องการสิ่งใด
แต่กับมารดาของนางเหมือนหนูเจอแมว อยู่ต่อหน้าเสิ่นฮูหยิน เสิ่นเยว่ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม
เสียงกระพือปีกดังอยู่ที่นอกหน้าต่างเสิ่นเยว่รีบลุกไปดู นางคิดว่าจะต้องเป็นเป็นเจ้าลู่ลู่ อย่างแน่นอนแต่นางก็ต้องผิดหวังมันไม่ใช่ลู่ลู่เป็นเพียงนกป่าที่บินผ่านมาเท่านั้น หลายวันแล้วที่นางไม่ได้เจอเจ้าลู่ลู่นางไม่รู้ว่ามันหายไปที่ใดนางเหงาและคิดถึงมันยิ่งนัก รวมทั้งเจ้าของๆมันด้วย
หลี่เซวียนก็ไม่ต่างกันเขาเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในจวนไม่ได้ไปที่ค่ายทหารหลายวันแล้ว เพราะไม่ได้รับอนุญาตจากมารดาคือหลี่ฮูหยิน นางกลัวว่าเจ้าลูกชายหัวแข็งคนนี้จะหนีออกจากเมืองหลวง ทำให้งานแต่งงานล่มและอาจทำให้สองตระกูลต้องบาดหมางกัน นางที่มีหน้าที่ดูแลจวนตระกูลหลี่ตอนนี้จะปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด อีกไม่นานท่านแม่ทัพก็จะกลับมา นางจะปล่อยให้เรื่องทุกอย่างที่เตรียมการมาอย่างดีพังลงได้อย่างไร
ลู่ลู่ กระพือปีกอยู่ในกรงแสดงอาการว่ามันต้องการจะบินแต่ หลี่เซวียนไม่ยอมเปิดกรงให้มันออกมา เขาอยากเขียนจดหมายไประบายความในใจของตนเองตอนนี้กับนาง แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขียนจดหมายตอบกลับสหายลับคนนั้นอย่างไรถ้าหากนางรู้ว่าเขากำลังจะแต่งงาน นางจะยังคุยกับเขาอยู่หรือไม่ ถ้านางโกรธเขาล่ะนางจะต้องไม่ตอบจดหมายเขาอย่างแน่นอน ในใจของหลี่เซวียนตอนนี้กำลังสับสนวุ่นวายและร้อนรนอย่างมากเขาต้องหาทางยุติการแต่งงานในครั้งนี้ให้ได้
“อดทนหน่อยลู่ลู่อีกไม่กี่วันข้าจะปล่อยเจ้าออกไปตอนนี้ก็สงบเสงี่ยมอยู่ในกรงไปก่อนรอให้เรื่องทั้งหมดผ่านไปข้าจะเขียนจดหมายไปขอโทษและอธิบายให้นางเข้าใจว่าเหตุใดข้าถึงไม่ตอบจดหมายนางกลับ ข้าหวังว่านางจะไม่โกรธจนไม่ยอมตอบจดหมายข้ากลับมา”
หลี่เซวียนคิดหาทางอยู่นานก็ยังหาทางออกไม่ได้ปกติแล้วเขาเป็นคนที่ฉลาดมากไม่ว่าเรื่องใดเขาก็สามารถแก็ปัญหาได้ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าตนเองนั้นโง่ที่สุดตั้งแต่ที่ได้เกิดมา เมื่อไร้หนทางหลี่เซวียนก็หันไปปรึกษาจงหลาง องครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขามาตั้งแต่เด็ก ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกันจงหลางเป็นเด็กกำพร้าที่บิดาของหลี่เซวียนเก็บมาเลี้ยงตอนที่ไปออกรบที่ชายแดนและยังอนุญาตให้เขาใช้แซ่หลี่ตั้งชื่อให้ว่าจงหลาง
ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกันเป็นเหมือนกับพี่น้องมีอะไรเขาสองคนจะปรึกษากันตลอด
“จงหลางข้าต้องการล้มเลิกการแต่งงานครั้งนี้เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไร มีความคิดดีๆ หรือไม่เจ้าช่วยข้าคิดหน่อย เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับข้ามาก”
จงหลางขมวดคิ้วมุ่นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไงเพราะเขาก็ยังไม่เคยแต่งงาน จงหลางไม่เข้าใจว่าทำไมคุณชายถึงอยากจะยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้
“ คุณชายไม่ลองไปพบคุณหนูเสิ่นคนนั้นดูขอรับ บางที…. “
จงหลางพูดยังไม่ทันจบหลี่เซวียนก็ลุกขึ้นยืนทันที
” ใช่แล้วข้าต้องไปพบนางข้าคิดว่านางก็คงไม่อยากจะแต่งงานกับข้าเหมือนกันมีใครบ้างอยากจะแต่งงานกับคนที่ตนเองไม่เคยพบหน้าสักครั้งถ้าหากว่าตกลงกับนางได้บางทีการแต่งงานนี้อาจจะไม่ต้องจัดขึ้น ดีมากจงหลางข้าคิดแล้วว่าเจ้าจะต้องมีความคิดดีๆ แน่“
จงหลางมองคุณชายของเขาใช้วิชาตัวเบาทะยานออกจากจวนไปด้วยท่าทางงุนงง เขายังไม่ทันได้ออกความเห็นอะไรเลยแล้วคุณชายคิดว่าความเห็นอะไรที่บอกว่าดี
หลี่เซวียนใช้วิชาตัวเบาแอบเข้าไปในเรือนสกุลเสิ่นเขาไม่รู้ว่าเรือนของคุณหนูเสิ่นคนนั้นอยู่ที่ไหนจึงต้องแอบอยู่บนต้นไม้เพื่อดูลาดเลาไปก่อน
หลี่เซวียนเห็นสาวใช้สองสามคนกำลังหอบชุดสีแดงเดินไปทางเรือนขนาดกลางที่มีดอกไม้ปลูกเต็มไปหมด ดูท่าทางว่าเรือนหลังนั้นจะเป็นเรือนของคุณหนูเสิ่น หลี่เซวียนแอบย่องเข้าไปทางด้านหลังเรือนหน้าต่างห้องของเสิ่นเยว่ถูกเปิดเอาไว้เพื่อรอลู่ลู่เผื่อว่ามันกลับมานางจะได้มองเห็นมันได้ทันที แต่สิ่งที่เข้ามาในห้องไม่ใช่ลู่ลู่ กลับเป็นชายหนุ่มชุดดำรูปร่างสูงใหญ่หน้าของเขาทำให้เสิ่นเยว่ถึงกับตะลึง
นางไม่คิดว่าตนเองจะได้พบชายหนุ่มที่หล่อเหล่าเช่นนี้ในห้องของนาง แต่สายตาของเขากลับดูเย็นชายิ่งนัก หลี่เซวียนก็มีอาการไม่ต่างกันอยู่มายี่สิบเอ็ดปีเขาไม่เคยพบสตรีนางใดที่มีใบหน้างดงามเท่ากับสตรีที่อยู่ตรงหน้าเลย
ทั้งสองคนต่างมองสบตากันค้างอยู่เช่นนั้น นานจนกระทั่งเสิ่นเยว่ ได้สติกลับมา
” ท่านเป็นใครเหตุใดถึงเข้ามาในห้องข้ารู้ ตัวหรือไม่ว่าท่านกำลังบุกรุกจวนมหาเสนาบดีเสิ่น รีบออกไปซะแล้วข้าจะไม่เอาเรื่อง“
หลี่เซวียนยังคงมองเสิ่นเยว่อยู่เช่นนั้นคล้ายกับว่าเขาไม่สนใจคำขู่ของนาง หลี่เซวียนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยถ้านางรู้ว่าเขาเป็นใครนางจะทำสีหน้าอย่างไร
” ข้าคิดว่าเจ้าอยากจะพบข้าซะอีก เรื่องการแต่งงานของเราทั้งสองคนเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร เจ้าอยากจะแต่งงานกับคนที่เจ้าไม่เคยรู้จักอย่างนั้นหรือ ที่เข้ามาวันนี้เพราะต้องการมาเจรจากับเจ้าเรื่องการแต่งงานของเรา“
เสิ่นเยว่รู้ได้ทันทันทีว่าเขาเป็นใครหลังจากที่เขาพูดว่าการแต่งงานของเราสองคน เขาคือหลี่เซวียนคนนั้นคู่หมั้นที่นางไม่เคยได้พบหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะมีใบหน้าที่หล่อเหล่าบุคลิกองอาจห้าวหาญแต่นางก็ยังคงชอบสหายในความลับคนนั้นของนาง
” ข้าก็มิได้ยินยอมแต่ข้าจะทำเช่นไรได้ในเมื่อเป็นการตกลงของทั้งสองตระกูล เรื่องนี้ข้าได้คัดค้านทุกวิถีทางดูแล้วแต่ไม่มีใครฟังคำของข้า ข้าคิดว่าตระกูลหลี่ของท่านก็คงจะไม่ต่างกันเท่าใดนักไม่เช่นนั้นท่านคงจะไม่มาที่นี่ใช่หรือไม่“
ดูเหมือนว่านางจะไม่ใช่คนโง่เท่าใดนัก นางอ่านเรื่องราวทั้งหมดออกเพียงแต่ไม่สามารถคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ได้
หลี่เซวียนถือวิสาสะนั่งลงบนเก็าอี้
“ถ้าหากว่าเราสองคนจำเป็นจะต้องแต่งงานกันจริงๆ ข้าอยากจะทำข้อตกลงกับคุณหนูเสิ่นสักเรื่องได้หรือไม่”
เสิ่นเยว่นิ่งรอฟังเขา
“ ข้าคิดว่าอย่างไรเราสองคนก็ไม่ได้พึงใจซึ่งกันและกัน เราแค่แกล้งแต่งงานหลอกๆ รอจนกระทั่งสามารถหาทางออกให้ทั้งสองฝ่ายได้แล้วเราค่อยหย่ากันภายหลังข้ารับรองว่าจะไม่ทำให้เจ้าเสียหายถ้าหากว่าเจ้ายินดีเราจะเขียนสัญญาขึ้น เมื่อครบหนึ่งปีเราสองคนจะหย่าร้างกัน เจ้าเห็นว่าอย่างไร“
เสิ่นเยว่คิดตาม นี่คงจะเป็นทางออกเดียวมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ผ่านไปหนึ่งปีนางก็จะเป็นอิสระ สตรีที่ออกเรือนไปแล้วถ้าหากหย่าร้างกลับบ้านเดิมไปก็คงจะดูไม่ดี นางจะหาที่อยู่เป็นของตนเองแล้วค่อยไปพบกับเพื่อนในความลับคนนั้นเพื่อที่นางจะได้อยู่กับเขาอย่างอิสระไม่ต้องหลบซ่อนเสิ่นเยว่คิดในใจ
” ได้เช่นนั้นเราก็มา ทำสัญญากันเถอะเมื่อครบหนึ่งปีแล้วเราสองคนก็จะเป็นอิสระ“