บทที่1.นี่เหรอผู้ชายที่มีอายุ50 1/2
บทที่1.นี่เหรอผู้ชายที่มีอายุ50
ทับทิมเหวี่ยงปลายเท้าลงยันพื้น กลอกตามองบนเมื่อรถมอเตอร์ไซค์ที่เธอค่อนว่าในใจ ทะลึ่งแล่นมาจอดใกล้ๆ ตัวพร้อมกับเสียงท่อไอเสียที่ดังจนแก้วหูร้าว...เธอรีบยัดหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดเก็บไว้ในเป้สะพายไหล่...
“ดับเครื่องสิคู๊ณ!!” หญิงสาวใช้เสียงสูงเพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกละอายใจ
เสียงท่อดังสนั่นเงียบลง หลังคนขับบิ้กไบท์คันนั้นบิดกุญแจดับเครื่องยนต์ที่ทำงานให้หยุดสนิท
“ด่านเขาก็ตั้งกันให้เกร่อ ไม่รู้เป็นไงสิ ชอบกันจริงเรื่องแหกฎนี่” หญิงสาวบ่นต่อ ฉวยเป้คล้องที่หัวไหล่เตรียมจะเดินหนี
“เดี๋ยวสิ” ใครคนนั้นรั้งเธอไว้
ทับทิมยกหัวคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงถาม แต่ไม่ได้ปริปากพูด
“ทัพอยู่ไหม?” เสียงที่ดังลอดหมวกกันน็อคออกมาดังอู้อี้ หญิงสาวค่อนว่าในใจ คนตรงหน้านี่ไม่รู้จักมารยาทหรือไงกันนะ เขาควรถอดหมวกกันน็อคเพื่อเจรจากับคนแปลกหน้าสิ
แต่เพราะชื่อของคนที่ชายตรงหน้าถามหา ทับทิมเลยพยายามตัดความรู้สึกไม่พอใจออก แต่ก็นั่นแหละ เธอก็ยังแอบด่าคนตรงหน้าในใจอยู่ดี
ทัพ คนที่ชายแปลกหน้าตรงหน้าเธอถามถึง คือบิดาของเธอเอง แต่บิดาของเธออายุปาเข้าไป52ปีแล้วนะ คนตรงหน้าที่พอจะสำรวจคร่าวๆ ไม่น่าจะเกิน40ปี เขาอาจจะยู่ในช่วง35ถึง40ก็เป็นได้ เธอคะเนจากรูปร่างของเขา ท่อนขาแข็งแรงนั่น กับกล้ามเป็นมัดใต้เสื้อยืดแนบเนื้อ เขาใส่กางเกงผ้ายีนส์ หุ่นเฟิร์มเสียจนเธอยังแอบสนใจ แต่จำต้องตัดออกเพราะท่าทีแข็งกระด้างของเขานั้นแหละ
“มาหาพ่อฉันเหรอ?”
เสียงที่ทับทิมใช้เลยค่อนข้างห้วน
“อยู่หรือเปล่าล่ะ” คน คนนั้นไม่ได้ตอบ เขากลับย้อนถามเธออีกครั้ง
ทับทิมเริ่มฉุน เธอแอบเบ้ปาก พร้อมกับถอนใจดังๆ
“ไม่อยู่หรอก ถ้ามาหาพ่อ มาตอนเย็นๆ เถอะ”
ช่วงเวลานี้บิดาของเธอ ไม่อยู่ที่ศาลาวัด ก็อาจจะนั่งจิบโอยั๊วะอยู่ที่ร้านกาแฟหน้าหมู่บ้าน สถานที่ซ่องสุมของคนทำนา หลังเกี่ยวข้าวเสร็จส่วนใหญ่จะสุมหัวคุยกัน หรือไม่ก็นัดดวลไก่ชน
เธอชินแล้ว สำหรับกิจกรรมหลังหน้าทำนาของบิดา
“รู้ไหมว่าอยู่ไหน?” หญิงสาวจิปากซ้ำอีกครั้ง
ผู้ชายตรงหน้าเธอ เป็นคนกระด้างมาก คำพูดของเขาไม่มีหางเสียง ไม่มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า
“อยู่ร้านโกเอี่ยวหน้าวัดมั้ง” ทับทิมตอบแบบขอไปที เธอเตรียมจะเดินหนี ไม่อยากเสวนากับคนมารยาทต่ำ
แต่...
คนคนนั้นถอดหมวกกันน็อคออกจากศีรษะ เธอถึงกับอึ้ง เขาหล่อมากกว่าที่คิด ใบหน้าคมเข้ม ผิวขาวเหมือนไข่ปอก นัยน์ตายาวรีมีความหมายแปลกๆ แต่ทับทิมขี้เกียจแปล
เธอเสหลบตาตอนที่สายตาคมดุคู่นั้นมองมาที่ตนเอง
“ไปทางไหนเหรอ?” เขาคนนั้นถามต่อ เธอชี้มือไปคนละทิศกับที่ชายผู้นี้มา
“อืม...” ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีรอยยิ้ม เขาสวมหมวกใบนั้นกลับเข้าที่เดิม พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่แผดเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
ทับทิมกำมือแน่น เธอกัดฟันกรอดๆ
คนกวนประสาทจากไปพร้อมกับเสียงท่อไอเสียแสบแก้วหูนั่น
“ใครวะ หน้าตาก็ดีมารยาทต่ำจัง!!” ทับทิมทิ้งตัวนอนในแปลที่เดิม ควักหนังสือเล่มเดิมออกมาเปิดอ่าน และดำดิ่งในโลกจินตนาการ ลืมความไม่พอใจที่เกิดขึ้น เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง...เธออ่านนิยายจบเลยยัดหนังสือเก็บในเป้ เตรียมจะเดินขึ้นบ้าน
“อีหนูแม่ไปตลาดแป๊บนะ” มารดาปั่นจักยานคันเก่าฝ่าเปลวแดดมา
“ไปอะไรตอนนี้แม่ ตลาดวายหมดแล้วค่ะ” ทับทิมเงยหน้ามองฟ้า แดดเปรี้ยงๆ แบบนี้ แม่ค้าเก็บแผงกลับบ้านหมดแล้ว
“เสี่ยงดวงเอา ในตู้เย็นไม่มีอะไรเลย เย็นนี้จะกินข้าวกับอะไรกันล่ะ” ปรางตอบบุตรสาวหลังจอดรถจักรยานพิงโคนต้นไม้
“น้ำพริกไงแม่ ทิมกำลังนึกอยากกินอยู่พอดี”
กับข้าวง่ายๆ ที่ไม่ได้ลิ้มรสมานาน อาหารพื้นบ้านที่ทุกครัวเรือนมักจะมีเป็นอาหารสักมื้อหนึ่ง
“ไม่ได้หรอก วันนี้พ่อเอ็งมีแขก” ปรางตอบบุตรสาว ฉวยตระกร้าหวายที่แขวนไว้กับกิ่งมะขามมาถือ เตรียมตัวจะไปตลาดเหมือนที่ปากพูด
“ใครมาเหรอแม่?”