บทที่ 2
“ไม่มี ไม่มีอีกแล้วเหรอป้า ไม่มีไม่ได้แล้วนา”
“ก็...ไม่มีจริงๆ จ้ะ ขอทดไป...”
“ทดไม่ได้แล้ว ไม่ไหวๆ แบบนี้ต้องให้ไปคุยกับเสี่ยแล้วนะ”
“โธ่...ลุงป่วยเมื่อเดือนก่อน ไม่ได้ออกรถเลย แล้วป้าเองก็เพิ่งจะหาย ไร่สวนไม่ได้ทำเลย ผ่อนผันไม่ได้เลยเหรอพ่อพูน”
“ไม่ได้ เพราะนี่ช้ามามากแล้วนะ ถ้าไม่มีให้จริงๆ ก็ถึงกำหนดจะต้องยึดของค้ำประกันแล้วล่ะ”
เสียงถกเถียงกันนอกบ้าน ทำให้ลิลิตที่กำลังนั่งอ่านหนังสือสอบอยู่ ชะโงกหน้าลงมามอง สาวน้อยค่อยๆ ย่องลงมา เพื่อฟังดูว่าแขกผู้มาเยือนบ้านหลังน้อยของครอบครัวเธอ มีวัตถุประสงค์อะไร
“อย่าเลยนะพ่อพูน ถ้ายึดบ้านไปแล้ว ป้าจะทำยังไงล่ะ ขอเถอะนะ ขอเวลาหน่อย”
ยุพินน้ำตาไหลเพราะความอัดอั้นที่ถูกบีบคั้นข่มขู่ พูนสั่นหน้า แล้วเอ่ยเสียงหนักแน่น
“ไปคุยกับเสี่ยโน่น ฉันตัดสินใจให้ไม่ได้ อ้อ...หึๆ ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ป้ายุ ป้ายุลองกล่อมลูกสาวดูสิ ว่าจะเอาตัดขัดดอกแทนเงินไปก่อนได้ไหม เสี่ยแสนน่ะ เคยบอกกับฉันว่าลูกสาวป้ายุหน้าตาน่ารัก อยากจะมาทาบทามอยู่ ดีไม่ดีล่ะก็ จะได้เงินแถม หนี้ก็ปลดนา”
“โอ๊ย!” ยุพินอยากจะเอาอะไรโยนใส่หน้าพูนนัก นางถึงแก่หน้าเขียว แล้วลืมตัว ชี้หน้าไล่พูนไป ไม่กลัวกันล่ะ
“ไปเลยนะ ไอ้ห่าพูน ไอ้ปากหมา กูไม่ยอมขายลูกสาวหรอก”
“แหมๆ อย่ามาทำหัวร้อนเลยน่าป้ายุ ลองนิดลองหน่อยไม่เสียหายหรอก”
“พูดมากอีกที กูจะเอาสากมาตีกบาลมึง ไอ้พูน”
“ไปแล้วๆ ป้าอย่าลืมไปคุยกับเสี่ยเขาด้วยล่ะ พรุ่งนี้ ไปนอนคิดดีๆ เรื่องนังเล็กนะ”
“ไอ้...”
พูนไม่ทันฟังหรอก ว่ายุพินจะด่าอะไรตามหลัง เพราะชิงสตาร์ทรถชิ่งหนีมาเสียก่อน ทิ้งให้ยุพินด่ากราดตามหลังอีกมากมาย แล้วก็ปล่อยโฮร้องไห้ อย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
ลิลิตที่ได้ยินทุกสิ่ง กัดริมฝีปากแน่น ใจร้อนเร่าแทนมารดาที่เจ้าหนี้มาทวงมาตามถี่เหลือเกิน พักนี้ท่านไม่ค่อยสบาย ด้วยโรคประจำตัว ไหนจะบิดาที่ประสบอุบัติเหตุจนไปวิ่งรถที่ท่านเคยทำไม่ได้ต้องหยุดงานถึงสามเดือนเต็ม รายได้ของครอบครัวตอนนี้ เรียกได้ว่าติดลบ
เธอรู้มาเหมือนกันว่าพวกท่านไปกู้ยืมเงินมาจากบ้านของเสี่ยแสน ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในอำเภอ แต่ไม่คิดว่าท่านจะติดหนี้มากจนถึงขนาดที่พวกนั้นจะยึดบ้านได้
บ้าน...
ฟังจากคำของคนที่มาเก็บเงินบอกว่า ให้เอาเธอไปขัดดอก...ให้เสี่ยแสน ทางนั้นอาจจะผ่อนเบา ทุเลาให้ เขาอยากได้เธอ
สาวน้อยอายุเพียงสิบแปด น้ำตาไหลซึม เงินของครอบครัว ส่วนหนึ่งใช้ส่งเสียเธอให้เล่าเรียน ลิลิตกำลังตัดสินใจบางอย่าง ที่เรียกได้ว่าเป็นการตัดสินใจชั่ววูบ และบ้าบิ่นเหลือเกิน
เธอตกลงใจกับตนเองว่าจะไปเสนอตัวให้กับเสี่ย
เพื่อชดใช้หนี้สินแทนครอบครัว
คิดได้ดังนั้นแล้ว ลิลิตก็วางหนังสือเก็บไว้ พร้อมกับค่อยๆ ย่องออกไปจากบ้าน เธอจะต้องไปหาเขา...เพื่อตกลงกับเขาเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ความกล้าของเธอจะปลิวหายไป
........................................................................................................................................................................................
“มีอีกสามเจ้าครับเสี่ย ที่ยึกยักและขาดส่ง เสี่ยจะให้ผมทำยังไงครับ”
พูดเอาบัญชีมารายงาน พร้อมกับเงินที่เก็บมาได้ สินทวีมองผ่านๆ แล้วก็โบกมือให้กับลูกน้องของพี่ชาย เขาไม่ถนัดทางนี้ ก็ให้คนทำงานเขาทำในสิ่งที่คุ้นเคยก็แล้วกัน
“พูนก็ทำตามที่พี่แสนเคยทำได้เลยน่ะ”
“เอาแบบนั้นเลยนะครับ”
“อืม ก็แบบนั้นนั่นแหละ”
“ได้เลยครับ”
พูนน้อมรับและออกไปจากห้องทำงานของเสี่ยหนุ่ม สินทวีถอนใจน้อยๆ พลางนั่งตรวจเอกสารบัญชีของโรงสีต่อ ทำงานเพลินจนเกือบค่ำ ก็มีพนักงานมารายงานว่ามีคนมาขอพบเขา
“ใครกันนะ”
เขาบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องพักแขก ที่เขาบอกให้คนมาขอพบไปนั่งรอตรงนั้น สินทวียังคิดบัญชีไม่ลงตัว ยังปวดหัวนิดๆ ปรกติแล้วเขามักจะมีคนช่วยทำบัญชี แต่วันนี้พนักงานของเขาลางาน งานเลยมาตกอยู่กับเขา เงินๆ ทองๆ ไม่อยากทำข้ามวัน อยากทำให้มันเสร็จสิ้นไปเลย
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องพักแขกแล้วสินทวีก็ขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นร่างเล็กบางของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง นั่งก้มหน้ารอเขาอยู่ตรงนั้น
“สวัสดีครับ”
เขาเอ่ยทักไป
เมื่อเจ้าหล่อนเงยหน้ามา เขามองสบตากับนัยน์ตาโตแป๋วคู่นั้น โลกก็พลันหยุดหมุนไปครู่...
.............
ลิลิตมองคนตรงหน้า เสี่ยสิน...ใช่เขาไม่ใช่เสี่ยแสน เขาคือเสี่ยสินน้องชาย เธอรับรู้มาจากพนักงานที่มาขอพบเสี่ยแสนเจ้าหนี้ ว่าตอนนี้เหลือแต่เสี่ยสิน เสี่ยแสนไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว หนี้ของครอบครัวเธอคนๆ นี้จะเป็นคนจัดการดูแลแทนทั้งหมด
เขาไม่ใช่คนอายุมากเลยสักนิด เขายังดูหนุ่มอยู่มาก และดูหล่อเหลา...สะดุดตา ผู้ชายตรงหน้าตัวสูง ไหล่กว้าง เขามีผิวขาวดูสะอาด นัยน์ตาคมจัดยาวรีซ่อนอยู่ใต้หลังกรอบแว่นสีทอง เรือนผมของเขาตัดสั้น จมูกโด่งสวย ริมฝีปากหยักลึก เขาสวมเสื้อยืดสีขาว และกางเกงยีนสีเข้ม รองเท้าแตะแบบใส่ในสำนักงานที่เขาใส่ไว้ ทำให้เห็นนิ้วเท้าของเขาที่โผล่ออกมา คนอะไรดูดียันนิ้วเท้าเลยก็ว่าได้ มันเรียงเป็นระเบียบได้รูปสวย และดูสะอาดสะอ้านมาก
เหมือนมีออร่าแสงสว่างส่องมาที่ผู้ชายคนนี้
เขาเลิกคิ้ว มองเธอนิ่ง จนลิลิตรู้สึกประหม่า สาวน้อยก้มหน้าหลบตาเขา มือของเธอประสานกันและสั่น ก้มลงดูนิ้วเท้าของตัวเองบ้าง มันเลอะฝุ่นและดูดำสกปรก เพราะเธอวิ่งลัดทุ่งนามาทางหลังบ้าน เนื่องจากกลัวพ่อกับแม่เห็น ว่าเธอกำลังจะไปไหน เธอกลัวพวกเขาจะห้าม
เธอสวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น มันมอมแมมเพราะเจ้าตัววิ่งฝ่าทุ่งนามา เศษใบข้าวยังติดที่เรือนผม ลิลิตไม่มีเวลาสนใจสภาพของตัวเองแต่อย่างใด เพราะใจคิดถึงแต่สิ่งที่เธอจะมาบอกกับเจ้าหนี้
เจ้าหนี้ตอนนี้นั่งมองลูกหนี้ตัวน้อย ที่นั่งก้มหน้าหลบสายตาเขา ด้วยสายตาสำรวจ หลังจากมองสบตากับหล่อน หลังจากถูกมนต์จากนัยน์ตาโตแป๋วแฝงแววประหม่าขลาด ร่ายมนต์เข้าอย่างจัง
หล่อนมีใบหน้ารูปหัวใจ ผมยาวรวบไว้หลวมๆ มีเศษใบข้าว...ติดอยู่ตรงปลายผมหล่อน ตากลมโตแป๋ว จมูกโด่งเล็ก ริมฝีปากรูปกระจับจิ้มลิ้ม เป็นสีชมพูเรื่อ หล่อนมีแก้มนิดๆ น่าหยิก เรือนร่างนั้นเล็กบาง แต่มีบางส่วนฟ้องว่าเจ้าตัวไม่ได้เด็กแล้ว คือหน้าอกของหล่อนที่ดันเสื้อยืดออกมาจนเห็นได้ชัด ผิวของหล่อนไม่ได้ขาวจัด แต่ไม่ได้ถึงขนาดเป็นผิวสีน้ำผึ้ง อาจจะเพราะแดดลม
หล่อนเป็นสาวสวยเลยทีเดียว ถ้าเติบโตมากกว่านี้ ถ้าแต่งตัว...จะสวยขนาดไหนกันนะ ขนาดมอมแมมเหมือนลูกแมวคลุกขี้เถ้า ยัง...ทำให้เขาเผลอมอง และใจสั่น
“มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า” เขาทักอีกหน เมื่อแม่สาวน้อยยังคงก้มหน้า สินทวียิ่งมองหล่อน...เขาก็ยิ่งรู้สึก...อา...นี่เขากำลังเป็นอะไรไปนะ
“คือ เรื่อง เรื่องหนี้ของพ่อกับแม่”
ลิลิตเปิดปาก เธอเงยหน้ามองเขา นัยน์ตาไหวระริก หล่อนพยายามกลั้นน้ำตา ที่ทำท่าจะเอ่อไหล แล้วเอ่ยต่อเสียงสั่น สินทวียังคงมองจ้องมายังเธอ นัยน์ตาของเขาอ่อนโยน เขาทรุดลงนั่งตรงกันข้ามกับเธอ นิ่งเงียบฟังว่าเธอจะพูดอะไรต่อ
ต้องตัดสินใจแล้วนะลิลิต
“คือว่าบ้านหนูไม่มีเงินจ่ายคุณหรอกค่ะ ที่บ้านกำลังลำบาก หนูขอจ่ายเป็นอย่างอื่นได้ไหมคะ”
“ครับ”
เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดพวกนี้ สินทวีจึงขมวดคิ้ว มองคนตัวเล็กที่ตอนนี้ รวบรวมความกล้า มองเขาเต็มตา เขาเห็นน้ำตาของเธอคลอเต็มหน่วงตา
โถ...
ใจของเขาอ่อนยวบด้วยความสงสาร
“หนูขอจ่ายคุณเป็นตัวหนูแทนหนี้สิน ได้ไหมคะ”