3
สัมผัสสั้น ๆ นั้น ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงกว่าการโต้ตอบประเด็นต่างๆ กันในห้อง
สาย ๆ ในห้องทำงาน
หลังการประชุม กฤษณ์เดินกลับห้องพร้อมเลขาคนสวย เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนัง ดวงตาคมกริบทอดมองเอกสาร แต่ปากเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน
“คุณทำได้ดีกว่าที่คิด”
“ขอบคุณค่ะ”
“แต่ยังไม่พอ” เขาเงยหน้าขึ้น
“ผมต้องการคนที่ตามผมทันทุกอย่าง ไม่ใช่แค่บันทึก”
เธอสูดลมหายใจ
“ดิฉันจะพยายามค่ะ”
กฤษณ์โน้มตัวมาข้างหน้า ศอกวางบนโต๊ะ
“ไม่ใช่แค่พยายาม คุณต้องทำให้ได้”
สายตาคมจ้องลึกเหมือนกำลังทดสอบ เธอรู้สึกทั้งท้าทายทั้งกดดัน แต่ก็ไม่ยอมหลบ
“ค่ะ” เธอตอบอย่างหนักแน่น
ริมฝีปากของเขายกยิ้ม
“อย่างนี้สิ ถึงคุ้มค่าที่รับเข้ามา”
ทั้งบ่ายกฤษณ์เรียกใช้งานเธอแทบไม่หยุด บางครั้งแค่ให้จดหมายเวียน บางครั้งให้วิ่งลงไปฝ่ายการเงินเพื่อตรวจยอด บางครั้งให้แก้พาวเวอร์พอยต์ใหม่ภายในสิบนาที
ลินินเหนื่อยจนแทบไม่มีเวลาหายใจ แต่ก็ทำทุกอย่างทัน เสียงชื่นชมจากคู่ค้าในห้องประชุมดังขึ้นบ่อยครั้ง
“เลขาคุณเก่งนะครับ”
กฤษณ์เหลือบสายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจมาทางเธอ
ช่วงบ่ายสาม การประชุมใหญ่ครั้งสุดท้ายจบลง ลินินแทบหมดแรง แต่กฤษณ์ยังดูสดชื่นราวไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย
“คุณกลับไปพักได้” เขาพูดเสียงเรียบ
เธอเก็บเอกสารใส่แฟ้ม กำลังจะลุก เสียงของเขาตามมาอีกประโยค
“แต่หกโมงเย็น เจอกันที่ล็อบบี้โรงแรมแกรนด์ไลท์”
“มีงานต่อเหรอคะ”
“ดินเนอร์กับนักลงทุน” เขาหยุดนิดหนึ่ง
“คุณไปในฐานะเลขา”
หกโมงตรง ลินินมาถึงโรงแรมหรูในชุดเดรสสุภาพเรียบ เธอตั้งใจเลือกสีเรียบเพื่อไม่ให้โดดเด่น แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในล็อบบี้ สายตาหลายคู่หันมามองอย่างสนใจ
กฤษณ์ยืนรออยู่แล้วในสูทสีเข้ม เขากวาดสายตาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แววตาหลุบลงชั่ววูบก่อนยกยิ้ม
“อย่างน้อยคุณก็รู้กาลเทศะ”
“ดิฉันมาเพื่อทำงานค่ะ” เธอเน้นเสียง
“ดี ผมก็เหมือนกัน”
ดินเนอร์คืนนั้นเต็มไปด้วยการสนทนาธุรกิจที่เข้มข้น ลินินนั่งข้าง ๆ กฤษณ์ คอยกระซิบเตือนเรื่องเอกสารและข้อมูลตัวเลข เขาเองก็แสดงความมั่นใจจนอีกฝ่ายคล้อยตาม บทสนทนาสลับกับเสียงแก้วไวน์กระทบกัน
ระหว่างพักเบรกสั้น ๆ กฤษณ์โน้มลงกระซิบใกล้หูของเธอ
“คุณทำให้ผมไม่ต้องเหนื่อยเกินไป”
ลมหายใจอุ่น ๆ ข้างหูทำให้เธอสะท้านวูบ เธอหันไปสบตา แต่เขาก็หันกลับไปยกแก้วไวน์ทันที ราวกับไม่ได้พูดอะไร
เมื่อการดินเนอร์สิ้นสุด เกือบสี่ทุ่ม ลินินลุกตามกฤษณ์ออกมาหน้าโรงแรม เธอกำลังจะเอ่ยขอตัวกลับ แต่เขากลับพูดขึ้นก่อน
“ผมให้คนขับไปส่งคุณเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันกลับเองได้”
“อย่าดื้อเหมือนสมัยเรียนอีกเลย” น้ำเสียงเขาแผ่วลง
“คืนนี้คุณเหนื่อยทั้งวันแล้ว”
เธอชะงักไม่ชอบคำว่าดื้อ แต่ก็รู้สึกถึงความห่วงใยที่ซ่อนอยู่ จึงพยักหน้ารับแบบไม่เต็มใจนัก
รถหรูแล่นออกจากโรงแรม ลินินมองไฟผ่านกระจก ความเหนื่อยผสมความสับสนทำให้เธอถอนหายใจ เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากฤษณ์ยังคงเป็นตัวตนที่เธอคุ้นเคย กวน ประชด เจ้าเล่ห์ แต่ก็มีบางแง่มุมที่อ่อนโยนมากกว่าที่คิด
เช้าวันจันทร์ ออฟฟิศบนชั้นสูงสุดยังคงเต็มไปด้วยเสียงโทรศัพท์และเสียงคีย์บอร์ด ลินินเริ่มคุ้นกับงานมากขึ้น เธอวางเอกสารตามโต๊ะ จัดคิวประชุมตามที่กฤษณ์สั่งตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ มือที่เคยสั่นเพราะความกดดัน ตอนนี้กลับมั่นคงขึ้น
แต่ความมั่นคงนั้นอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้นจากประตูห้องผู้บริหาร
“คุณเลขา วันนี้เย็นว่างหรือเปล่า”
ลินินเงยหน้าจากปฏิทิน
“ดิฉันมีเอกสารต้องสรุปค่ะ”
กฤษณ์ยกคิ้วขึ้น ยิ้มตรงมุมปาก
“ดี งั้นทำที่ร้านอาหารก็ได้”
“คะ”
“ผมมีนัดดินเนอร์กับคู่ค้ารายใหม่ คุณไปด้วย จัดเอกสารตรงนั้นเลย” เขาพูดเรียบง่ายเหมือนเป็นเรื่องปกติ
ลินินเม้มปาก จะปฏิเสธก็ยาก เพราะในฐานะเลขา งานของเธอคืออยู่ข้างเขาเสมอ
ช่วงบ่ายงานถาโถมเข้ามาไม่หยุด กฤษณ์เรียกเธอเข้าออกห้องประชุมเกือบทุกชั่วโมง บางครั้งแค่ให้ถือแฟ้ม บางครั้งให้กระซิบตัวเลขกำไรสุทธิ เขาใช้เธอเหมือนเป็นแขนขาที่สอง
จนบ่ายสามโมง ระหว่างพักหายใจเพียงไม่กี่นาที เธอเปิดโน้ตบุ๊กบนโต๊ะส่วนตัว กำลังพิมพ์อีเมล กฤษณ์ก็เดินออกมาจากห้อง พร้อมกาแฟถ้วยโปรดในมือ
“ไปเดินด้วยกัน”
“ตอนนี้เหรอคะ”
“ใช่”
เธอแอบถอนหายใจ แต่ก็ลุกตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทั้งคู่ลงลิฟต์มายังลานกาแฟชั้นล่าง พนักงานหลายคนหันมามองด้วยสายตาสงสัย บางคนกระซิบกระซาบ แต่กฤษณ์กลับเดินอย่างไม่สนใจ ราวกับตั้งใจให้ทุกคนเห็นว่าเลขาคนใหม่ต้องอยู่ข้างเขา
เขาสั่งเอสเปรสโซเหมือนเดิม แล้วหันมาถามเธอ
“คุณเอาอะไร”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไม่หิว”
“งั้นเอาเหมือนเดิม ลาเต้ร้อนหนึ่ง” เขาสั่งแทนหน้าตาเฉย
เมื่อแก้วกาแฟถูกวางลงตรงหน้า ลินินกัดริมฝีปาก จะบอกว่าไม่อยากกินก็สายเกินไป เธอได้แต่นั่งจิบเงียบ ๆ
“เห็นไหม” เขาพูดขำ ๆ
“ผมยังจำได้ว่าคุณชอบลาเต้ตั้งแต่ม.ปลาย”
เธอวางแก้วลงแรงกว่าที่ตั้งใจเล็กน้อย
“คุณยังไม่เลิกนิสัยล้อเลียนเลยสินะคะ”
กฤษณ์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าไม่ล้อคุณ ผมจะล้อใคร”
หัวใจเธอสะดุดวูบ แต่พยายามรักษาสีหน้าให้เรียบ
ตกค่ำ ลินินตามกฤษณ์ไปยังร้านอาหารหรูใจกลางเมือง โต๊ะวีไอพีถูกจัดไว้เรียบร้อย คู่ค้าชาวต่างชาติสองคนรออยู่แล้ว กฤษณ์ทำหน้าที่เจ้าบ้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนเธอก็จัดเอกสาร สรุปตัวเลข เสริมข้อมูลตามที่ซักถาม
แต่ระหว่างคุยธุรกิจ สายตากฤษณ์กลับเหลือบมองเธอเป็นระยะ จนเธอรู้สึกได้ ไม่ใช่แค่สายตาของเจ้านายต่อเลขา แต่เป็นสายตาที่มีอะไรซ่อนอยู่
เมื่อการเจรจาสิ้นสุดลง กฤษณ์ขับรถพาเธอกลับเอง เขาหยุดที่ไฟแดงกลางเมือง แสงนีออนสะท้อนกระจกหน้ารถ
“คุณเก่งขึ้นกว่าที่ผมคิด” เขาพูดเสียงทุ้ม
“ก็ทำตามหน้าที่ค่ะ”
“หน้าที่อย่างเดียว หรือเพราะคุณอยากพิสูจน์ว่าคุณไม่แพ้ผมอีกแล้ว”
ลินินชะงัก มองออกไปนอกหน้าต่าง
“คุณยังเหมือนเดิม ชอบหาเรื่องให้คนอื่นหงุดหงิด”
กฤษณ์หัวเราะเบา ๆ
“แต่คุณก็ยังตอบผมทันกันทุกครั้ง”
ไฟเขียวปรากฎ รถเคลื่อนตัวไปต่อ บรรยากาศในรถเงียบลง แต่หัวใจของลินินกลับเต้นแรงกว่าตอนอยู่ในห้องประชุมเสียอีก
