บทที่ 6
“อย่างนั้นหรือคะ”
แม่สาวน้อยทำตาโต สีหน้าที่ซีดเผือดในตอนแรก ดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง คุณหญิงรุจีหัวเราะชอบใจ กับหน้าตาของหล่อน พร้อมกับเอื้อมมือมาลูบหัวของขวัญเจ้าเอยเบาๆ ก่อนจะเอ่ยหยอกเย้า
“ฉันรู้อยู่แล้วหรอก ว่าตาปรีดิ์ไม่ได้ทำอะไรเรา เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะกลิ่นเหล้าหึ่งของมันนั่นล่ะ คนอย่างตาปรีดิ์น่ะ ถ้าเมาขนาดนั้น กางเกงยังไม่มีปัญญาจะถอด อีกอย่างหนึ่งฉันแน่ใจเสียยิ่งกว่าแน่ ว่าเหมียวน่ะไม่ได้อยากเข้าหา อยากจะปล้ำ อยากจะเข้าใกล้ตาปรีดิ์สักเท่าไหร่หรอก จริงไหม?”
“ค่ะ”
สาวน้อยก้มหน้างุด แก้มแดงก่ำ อกใจเต้นแรงไม่ได้ เมื่อเผลอนึกถึง....ตอนที่เธอโดนกอดกักไว้ในอ้อมแขนของเขา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หล่อนได้ใกล้ชิดสนิทสนมขนาดนั้นกับเพศตรงข้าม เขาทำหล่อนกลัวเกือบตาย...ที่ดึงหล่อนไปนอนด้วยแบบนั้น แล้วก็ทำให้หล่อน...ใจเต้นแทบวาย ทำให้หล่อนรู้สึกแปลกๆ
อา...เขาคือของต้องห้ามเถอะ ยัยเหมียว
“การที่ฉันสร้างเงื่อนไขกับเจ้าตัวแสบ เพราะจะได้เลือกๆ คัดคนที่ชอบแล้วก็ตัดสินใจไปซะ อิอิ เราต้องช่วยฉันด้วยนะเหมียว ช่วยบิ้วตาปรีดิ์ งานปาร์ตี้อาทิตย์หน้านี่ล่ะ ตาปรีดิ์จะต้องไม่หนีอีกล่ะ หึๆ”
“เอ่อ...ทำไมคุณท่านถึงอยากให้คุณปรีดิ์แต่งงานนักละคะ”
สาวน้อยถามยาวๆ ออกมาเป็นประโยคแรก คุณหญิงรุจีหัวเราะคิก แล้วมองหน้าใสๆ ของเด็กของท่าน
“ฉันจะได้มีหลานยังไงล่ะ เหมียว ตาปรีดิ์จะได้เลิกแรดไปทางนั้น แรดไปทางนี้ด้วย มีครอบครัวแล้วจะได้อยู่กับที่กับทาง ฉันล่ะกลัวมันจะไปติดโรค”
“คุณปรีดิ์เป็นหมอ ก็คงจะป้องกันตัวเองดีหรอกค่ะ คงไม่ติดโรค”
เธอตอบตามความคิดของตัวเอง ทำให้คุณหญิงหัวเราะชอบใจ
“แหมๆ ย่ะ นึกยังไงเข้าข้างพี่ล่ะวันนี้”
“หนูเห็นว่าคุณปรีดิ์ยังไม่อยากแต่งงาน ก็คงจะมีเหตุผล แล้วคนเราต้องรักกันก่อนไม่ใช่หรือคะ ถึงจะเป็นการสร้างครอบครัวที่ดี”
“ตาปรีดิ์วันๆ หมกทำงานที่โรงพยาบาล บุพเพอาละวาดยากน่ะสิ แล้วคนที่ตาปรีดิ์ควงแต่ล่ะคน โอ๊ย...ไม่ไหวหรอกนะเหมียว ฉันว่าฉันเลือกให้ ให้ไปคัดเอาอีกทีนี่ล่ะ แล้วจะให้ดีก็ควรจะรีบแต่งเลย ยิ่งดี ฉันกลัวใจยัยวรางคณาอะไรนั่น ไว้ใจไม่ได้”
“คนที่คุณท่านไม่ชอบน่ะเหรอคะ”
“ก็นั่นล่ะ เกิดมาจับกดตาปรีดิ์ ท้องไส้ขึ้นมา หอบหลานมาอยู่บ้านนี้ ไม่เอาๆ ฉันไม่อยากจะคิด ฉันคงฝันร้าย”
ว่าแล้วก็ทำท่าจะหายาดมมาสูด ขวัญเจ้าเอยลอบถอนใจน้อยๆ เขาจะโกรธเธอไหมหนอ...ตอนเมื่อเช้าดูว่าเขาหัวเสียมาก มองเธอตาดุขนาดนั้นด้วยสิ...
“ห้ามไปปูดบอกอะไรตาปรีดิ์ล่ะ เรื่องแผนนี้ ให้ยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าจะต้องหมั้น เพราะฉันสั่งตามนี้นะเหมียว”
คุณท่านเอ่ยสำทับมาแบบนั้น เธอก็จะทำยังไงได้ล่ะ นอกจากก้มหน้าแล้วตอบรับ
“ค่ะ”
..............................................................................................................................................................
วันนี้กระบองเพชรออกดอกมาอีกหลายกระถาง บางกระถางเป็นต้นที่คนที่เฝ้าถนอมรอมานาน แต่วันนี้เธอไม่ยักกะตื่นเต้นดีใจ หรืออัพรูปความงามของมันลงอวดในสื่อโซเชียลเหมือนเดิม ขวัญเจ้าเอยทำหน้าที่ไปโดยอัตโนมัติ ตามองงานตรงหน้า แต่ใจเตลิดไปไกลโน่น
ไปถึงใครบางคน
ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างหนอ
เธอไม่น่าปล่อยให้น้ำหมดเหยือกเลย
สาวน้อยถอนหายใจ มือสาละวนกับการเปลี่ยนดินให้กระบองเพชรที่โตจนต้องเปลี่ยนกระถาง เธอมัวแต่เพลินกับงานและความคิดของตัวเอง จนไม่ได้มองสิ่งรอบตัว ไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้กำลังมีใครกำลังยืนกอดอก มองจับจ้องเธออยู่จากทางด้านหลัง
ปรีดิ์ค่อยย่องมาที่เรือนเพาะ เพราะแน่ใจว่ายัยแมวมอมอยู่ที่นี่ เขาหลบเลี่ยงมารดาที่เอนหลังนอนกลางวันในห้องนั่งเล่น มาเพื่อจะคุยกับต้นเหตุ...ที่กำลังจะทำให้เขาสิ้นอิสรภาพ
เขายังอายุไม่เท่าไหร่ ยังสนุกกับงาน สนุกกับชีวิต ไม่อยากมีภาระต้องห่วงใครให้อีรุงตุงนัง และอีกอย่างหมอปรีดิ์ยังไม่พร้อมที่จะมีเมียถาวร
เขามองจ้องร่างเล็ก มองหล่อนอย่างไม่พอใจ เขาไปหยุดอยู่ด้านหลังหล่อนก็ยังเหมือนไม่รู้ตัว อาจจะเพราะหล่อนเสียบหูฟังเพลงจากโทรศัพท์ไปด้วยก็เป็นได้
มีความสุขจริงนะ ฮึ่ม! ตัวแสบ นึกยังไงไปนอนบนเตียงเขาเล่า...เขาคิดอย่างพานพาโล แล้วปรีดิ์ก็ทำสิ่งที่ใจคิด คือการคว้าเอวของคนตัวเล็กหมับ ดึงเข้ามาหาตัว
“ก...อุ๊บ”
ขวัญเจ้าเอยตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อกำลังทำงานเพลินๆ ก็ถูกคว้าตัวเข้าไปหากำแพงเลือดเนื้ออันอบอุ่น เขาตะปบปิดปากหล่อน แล้วเอ่ยขู่เข็ญข้างหู
“เงียบ พี่เอง ห้ามส่งเสียงดังรู้ไหม?”
ขวัญเจ้าเอยพยักหน้า กลัวเขา...เธอไม่ดิ้น ยืนตัวแข็งในอ้อมแขนของหมอปรีดิ์ ที่จริงๆ แล้วจะคุยกับหล่อนดีๆ ก็ได้ไหมล่ะ แต่ไม่รู้เป็นยังไง เขาอยากทำแบบนี้นี่นา
พอน้องไม่ดิ้น เขาก็เอามือออก แต่ยังไม่ปล่อยเธอจากอ้อมแขน กลิ่นของเธอเป็นกลิ่นแป้งเด็ก หอมฟุ้งชื่นใจ...อย่างบอกไม่ถูก มันทำให้เขาไม่อยากปล่อย เขายังคงกอดเธอไว้จากด้านหลัง รัดค่อนข้างแน่น ความที่ขวัญเจ้าเอยตัวเล็กสูงแค่บ่าเขา มันก็ทำให้เธอเหมือนกำลังจมไปในอกของเขา
เด็ก...
แต่สรีระไม่ได้เด็กเท่าไหร่เลย
ร่างนุ่มนิ่มในอ้อมอกฟ้องว่าแบบนั้น
“เมื่อคืนวันก่อนพี่ทำอะไรเหมียวไปบ้าง บอกตามตรง เอาความจริง”
“เอ่อ...”
ขวัญเจ้าเอยกลืนน้ำลาย เธอจะบอกเขาอย่างไรดีหนอ บอกความจริงไปก็แล้วกัน
“คุณปรีดิ์เมานอนอยู่ที่หน้าตู้เย็น เหมียวไปกินน้ำเลยเจอคุณปรีดิ์นอนตรงนั้น เหมียว...พาคุณปรีดิ์ไปนอน ละ แล้วคุณปรีดิ์หาว่าเหมียวเป็นหมอนข้าง จับเหมียวไปนอน...”
หล่อนหน้าแดงก่ำจนถึงหูขณะที่เล่า ตอนนี้ปรีดิ์นึกขำตัวเองที่ไปทำอะไรแบบนั้นให้เธอเห็น หมดกันไอ้หมอปรีดิ์ เฮ้อ...เมาเป็นหมาเลยสิเรา ดีแล้วที่เขาแค่กอดไม่ได้ทำอะไรรุนแรงไปกว่านั้นกับคนในอ้อมกอดนี่
ใจเธอเต้นแรงจนเขารู้สึกได้
หน้าสาวน้อยแดงก่ำ
เขามองแก้มใสนั่นรู้สึก...ใจเต้นแปลกๆ เขาไม่เคยมองพินิจเด็กของมารดามาก่อน นี่เป็นหนแรกกระมังกับความใกล้ชิดขนาดนี้ ที่เขาได้พินิจหล่อน...ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด
หล่อนสวยน่ารัก...จริงๆ
แม้จะมีรอยเปื้อนดินติดที่แก้มนั่น มอมแมม คลุกฝุ่น แต่ก็...
น่าจับหอมสักฟอดแก้หมั่นเขี้ยว
คิดแว้บมาได้แบบนี้ จมูกซุกซนนั่นก็ทำตามใจคิด เขาก้มลงหอมหล่อนฟอดใหญ่ ขวัญเจ้าเอยถึงกับตัวแข็งทื่อ อ้าปากค้าง เขาปล่อยหล่อนออกจากอ้อมแขน แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าได้ปล้นหอมน้องไปเอาดื้อๆ เขาจ้องหล่อนแล้วพูดเสียงเรียบ
“ถ้าพี่ทำแค่นั้น เราก็ไม่ต้องหมั้นกัน เหมียวไปยืนยันกับแม่เลยว่าเราจะไม่หมั้นกัน โอเค้”
ว่าแล้วเขาก็จับข้อมือเล็ก กึ่งดึงกึ่งลากขวัญเจ้าเอยให้เดินตามเขาไปหามารดา แม่ตัวเล็กเอามือกุมแก้ม หน้าแดงเถือก เหมือนรอยสัมผัสของเขายังอยู่ตรงนั้น โอย เมื่อกี้นี้มันอะไรกันนะ
ทำไมปรีดิ์ทำแบบนี้เล่า...
กอดไม่พอ หอมแก้มเธอไปอีก
เมื่อมาถึงห้องนั่งเล่นเอนหลังของมารดา เขาก็เคาะประตูห้องลงน้ำหนัก อย่างจะปลุกท่านไปด้วย คุณหญิงรุจีงัวเงียตื่นเพราะเสียงเคาะห้องนั่น พลางเอ่ยอนุญาต พ่อลูกชายตัวแสบเดินเข้ามาพร้อมเด็กของท่าน คงจะไปพามาจากเรือนเพาะต้นไม้แน่ๆ เพราะหน้าของขวัญเจ้าเอยมอมนิดๆ แดงก่ำอย่างคนตากแดดมาร้อนๆ
“อะไรกันน่ะตาปรีดิ์”
“ผมถามเด็กของแม่แล้ว แมวมอมบอกว่าผมไม่ได้ทำอะไร ผมเมา โธ่...แม่ครับ อย่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เลย ผมก็ไม่ได้อยากหมั้นอยากแต่งอะไรกับเด็กสิบเจ็ดนะครับแม่”
“แกก็มาร่วมปาร์ตี้ มาดูสาวๆ ที่แม่คัดไว้ให้ แล้วก็...” ท่านทำหน้าเชิดไม่รู้ไม่ชี้ ว่าลูกชายพูดว่าอะไร
“ก็เลือกๆ ไปซะ ชอบใครก็คบหาดูใจไป แม่จะหมั้นให้ แทนน้อง”
“แม่ครับ โธ่...”
“งั้นก็หมั้นกับน้อง”
“เอ๊อ...” ปรีดิ์เกาหัว แล้วสั่นหน้า
“แม่อะ”
“ไม่ต้องมาแม่อะ เมื่อคืนแกก็ไม่กลับบ้านกลับช่อง หายไปไหนมา ก็เพราะแบบนี้ไง แม่ถึงจะให้แกหมั้นแล้วแต่งงานไปเสียจะได้อยู่กับร่องกับรอย”
“เฮ้อ...ไม่คุยกับแม่แล้ว แม่ดื้อมาก ผมไปทำงานล่ะ”
แล้วก็เดินเกาหัวเกาหูออกไปจากห้อง ทิ้งให้มารดานั่งกลั้นขำ พอเขาเดินไปไกลแล้วท่านก็หัวเราะคิกคักอย่างอดไม่อยู่ ท่านหันมามองเด็กของท่านที่นั่งพับเพียบ หน้าแดงก่ำเหม่อพิกล ก็กระแอม แล้วเอ่ยสำทับ
“เรายืนยันคำเดียวกับฉันนะ ว่าฉันให้หมั้นเราก็ต้องหมั้น ยกเว้นว่าตาปรีดิ์หาแฟนมาแทนได้ ฉันถึงจะยกเลิกสิ่งที่ประกาศไว้”
“ค่ะ”
เฮ้อ...
สาวน้อยลอบถอนใจอย่างหนักใจ...