บทที่ 3 ลูกกับสามีพิการ
ตอนที่ 3
หม่าเหวินฝูจูงมือน้องสาว วิ่งมาจากทางท้ายหมู่บ้าน จนกระทั่งมาถึงบ้านสกุลหม่า ที่ตั้งอยู่ใจกลางของหมู่บ้านต้าหนิง
เมื่อมาถึงรั้วบ้านที่ไม่มีประตูปิด เด็กชายก็ลากตัวน้องสาว วิ่งผ่านหน้าหญิงชรา ที่กำลังคิดจะออกไปตามหาตัวของเด็กชาย โดยที่ไม่สนใจฟังเสียงร้องเรียกของผู้อาวุโสเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าเหวินฝู หยุดเดี๋ยวนี้นะ...หน็อยนี้คงแอบพากันออกไปเที่ยวเล่น จนลืมหน้าที่ของตนเองใช่หรือไม่ หยุดให้ข้าลงโทษเสียดี ๆ”
‘หลู่ไป๋ปิง’ ยายเฒ่าของบ้านสกุลหม่า ตะโกนเสียงแหบแห้งไล่หลังเด็กชายที่ตนกำลังตามหาตัว เพราะเลยเวลาปัดกวาดเช็ดถูบ้านมานานแล้ว
แต่ไม่ว่าจะเสียงดังมากเท่าไร เจ้าหลานตัวดีก็หาได้หยุดฟังเหมือนเมื่อก่อนไม่
“หน็อย...เดี๋ยวนี้คิดจะแข็งข้อกับข้าหรือ...ได้...ข้าจะลงโทษมันให้หลาบจำ”
หญิงชราหมุนกายเหลียวมองหาไม้ ที่จะพอทำเป็นไม้เรียว เพื่อจะนำไปเฆี่ยนตีหลานชาย แต่เกิดนึกอะไรขึ้นมาได้เสียก่อน จึงหยุดสายตาเอาไว้เท่านั้น
...ข้าจะต้องออกแรงให้เหนื่อยทำไม แค่ฟ้องลูกสะใภ้ของเจ้ารอง เจ้าหลานชายตัวดี ก็ต้องถูกเฆี่ยนตี โดยที่ข้าไม่ต้องทำอะไรเลย...
คิดได้ดังนั้น หลู่ซื่อก็เดินไปทิ้งกายลงนั่งบนแคร่หน้าบ้าน เพื่อรอพบหน้าลูกสะใภ้ที่นางก็เกลียดชังน้ำหน้าเหมือนกัน...
ทางด้านเด็กน้อยทั้งสอง ที่พากันวิ่งผ่านท่านย่ามา ก็พากันตรงมายังเรือนหลังเล็ก ที่ตั้งอยู่ด้านหลังของเรือนหลังใหญ่
เมื่อเข้ามาภายในตัวบ้าน ที่มีสภาพเก่าซอมซ่อ จวนเจียนจะพังอยู่รอมร่อ เด็กชายก็พาน้องสาว ตรงเข้าไปห้องนอนของบิดาทันที
“ท่านพ่อช่วยข้ากับน้องด้วยขอรับ”
‘หม่าหย่งเหริน’ บุตรชายคนรองของสกุลหม่า นอนเหม่อลอยครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเอง พอได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของเจ้าตัวเล็ก ก็รีบเบือนหน้าหันมาทางประตูทางเข้า ก่อนจะเห็นสีหน้าของลูกน้อยทั้งสองไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะบุตรสาวที่ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
...หรือว่าสตรีใจร้ายนั้น จะรังแกลูก ๆ ของเขาอีกแล้ว...
“เสี่ยวฝู อิงเอ๋อร์ นางรังแกพวกเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่”
“ฮึก ๆ ขอรับ”
เพียงได้ยินน้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยจากบิดา ถึงแม้ไม่อยากแสดงความอ่อนแอ แต่หยดน้ำตาของเด็กชายก็หลั่งไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว
ทางด้านหม่าเหม่ยอิง พอเห็นน้ำตาของคนเป็นพี่ ที่ร้องไห้เป็นครั้งแรก เด็กหญิงก็อดที่จะร้องไห้ออกมาอีกรอบไม่ได้
“นาง ๆ ทำอะไรพวกลูก”
หม่าหย่งเหริน อยากจะยกมือขึ้นไปดึงร่างเล็กทั้งสองที่กำลังสั่นสะท้านเข้ามาสวมกอดปลอบขวัญ แต่ว่าไม่สามารถทำอย่างที่ใจหวังได้ เพราะนับตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บจากการออกรบ ร่างกายของเขาก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกเลย มีเพียงช่วงคอขึ้นไปเท่านั้น ที่ขยับเขยื้อนได้
“บอกพ่อมาสิ”
หม่าเหวินฝูเล่าเรื่อง ที่ตนเองแอบไปขโมยเงินของแม่เลี้ยง เพื่อนำมาซื้อยาที่หมดลงให้บิดา แต่แม่เลี้ยงดันจับได้เสียก่อน เลยคิดจะลงโทษเขากับน้อง โดยขู่ว่าจะเอาให้ถึงตาย
เขากลัวมากเลยพาน้องวิ่งหนีไปทางท้ายหมู่บ้าน หลบอยู่แถวสระน้ำ คราวนี้พอแม่เลี้ยงตามไป ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เขาเลยผลักแม่เลี้ยงตกน้ำ แต่พอได้สติก็กระโดดลงไปช่วยนาง แล้วจมน้ำหมดสติไป
“เสี่ยวฝู เป็นอะไรมากหรือเปล่าลูก”
หม่าหย่งเหรินเอ่ยถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง และความเกลียดชังที่มีต่อสตรีร่างใหญ่ ยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้น หากเขาเป็นเหมือนเมื่อก่อน คงลงมือตัดหัวนางให้ขาดออกจากตัวแล้ว โทษฐานที่กล้าคิดสังหารบุตรชาย บุตรสาวของเขา
“ไม่เป็นอะไรขอรับ...เอ่อ...ท่านแม่คงอยากจะเฆี่ยนลูกให้ตายกับมือ เลยไม่ปล่อยให้ลูกจมน้ำตายขอรับ”
เด็กชายกล่าวสิ่งที่ตนเองคิด ร่างทั้งร่างยังคงสั่นสะท้านจากแรงสะอื้น
“แต่หากข้าจะต้องถูกเฆี่ยนจนตาย ก็ขอได้กลับมาเห็นหน้าของท่านพ่อก่อน สักครั้งก็ยังดีขอรับ”
“โถ...พ่อขอโทษ ที่ปกป้องลูกของพ่อไม่ได้เลย หนำซ้ำยังทำตัวเป็นภาระของพวกเจ้าอีก”
คิดแล้วหม่าหย่งเหรินก็ปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมา น้อยใจในโชคชะตาวาสนาของตนเองนัก ทุ่มเทหาเงินส่งกลับมาให้ครอบครัว จนบ้านช่องแทบไม่ได้กลับ เพราะหวังว่าลูกน้อยทั้งสอง จะมีความเป็นอยู่ที่ดี แต่ที่ไหนได้เด็ก ๆ กลับมีชีวิตที่ลำบาก ถูกพ่อแม่และภรรยาของเขา ทารุณกรรม จนแทบจะไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นสนุกสนานเหมือนเด็กน้อยในวัยเดียวกันเลย แล้วยิ่งเขาต้องกลายมาเป็นคนพิการ ก็ต้องกลายมาเป็นภาระให้บุตรชายวัยแปดหนาว คอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวอีก
“พ่อขอโทษ ขอโทษจริง ๆ” น้ำตาของลูกผู้ชายหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย
ร่างเล็กทั้งสองเห็นบิดาร้องไห้ ก็พากันปล่อยโฮออกมา ปีนขึ้นเตียงซบลงโอบกอดร่างกายที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ของบิดาเอาไว้
“ฮึก ๆ ท่านพ่ออย่าขอโทษพวกข้าเลย ท่านไม่ผิด แต่เป็นท่านแม่ต่างหาก ที่ใจร้ายใจดำกับพวกเรา เป็นท่านแม่ที่ผิด”
“ข้าเกลียดนาง ฮือ ๆ” หม่าเหม่ยอิง ที่ซบหน้าลงบนอกของบิดา อยู่ ๆ ก็โพล่งเสียงดังขึ้นมา ในจังหวะที่ประตูเปิดออกอย่างแรงพอดี
...ปัง...
คนทั้งสามสะดุ้ง โดยเฉพาะเด็กน้อยทั้งสอง รีบปีนข้ามร่างของบิดา ไปนั่งยังอีกฝั่งของเตียง ที่อยู่ชิดกับผนังห้องนอน
“แก นังปีศาจ คิดจะกลับมาฆ่าลูก ๆ ของข้าหรือ คอยดูนะเวรกรรมจะต้องตามสนอง แม่เลี้ยงใจยักษ์ใจมารอย่างเจ้าแน่”
ทันทีที่เห็นสตรีร่างใหญ่ เดินตรงเข้ามาภายในห้องนอน หม่าหย่งเหรินก็ตะโกนด่านางทันที ถึงแม้จะทำอะไรร่างกายของนางไม่ได้ ก็ด่านางด้วยวาจานี้แหละ
หลางกุ้ยตานทำเพียงแค่ปรายตามองสามคนพ่อลูก ไม่สนแม้กระทั่งคำด่าทอที่หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม
นางเดินตามรอยความทรงจำ จนกลับมาถึงบ้านสกุลหม่า เดินผ่านหญิงชราที่เข้ามาฟ้องเรื่องของเด็กชาย โดยไม่คิดจะหยุดรับฟัง จนกระทั่งอ้อมมาทางด้านหลังก็พบบ้านหลังเก่า ที่ไม่รู้จะพังลงวันไหน นางจึงได้เข้ามา และคาดว่าเด็กน้อยทั้งสอง คงจะอยู่กับบิดาของพวกเขา เลยเข้ามาในห้องนอนนี้
“ตกน้ำจนเป็นบ้าไปแล้วหรือ ถึงได้เอาแต่นิ่งเงียบ ทำไมเจ้าไม่จมน้ำตาย ๆ ไปเสีย ข้ากับลูกจะได้มีความสุขกันเสียที”
หม่าหย่งเหรินยังคงพ่นคำด่าออกมาเป็นชุด ตั้งใจจะให้นางโกรธเขา จนลืมเรื่องของบุตรชายบุตรสาว ยอมให้นางตบตีเขา ดีกว่าไปทำร้ายลูกที่เป็นเหมือนดวงใจของเขา
“หุบปากไปเสีย ฉันอยากได้ความสงบ เพื่อคิดทบทวนอะไรบางอย่าง แม้แต่เสียงสะอื้นไห้ก็ห้ามเล็ดลอดออกมา”
หลางกุ้ยตานตวาดเสียงดัง ใส่สามีของเจ้าของร่าง ยังหันไปทำตาเขียว ใส่เด็กน้อยทั้งสอง ที่พากันนั่งกอดกันร้องไห้ มันรู้สึกหนวกหู ขัดจังหวะการคิดทบทวนของนาง
เด็กชายได้ยินเสียงขู่ของแม่เลี้ยงก็รีบยกมือข้างหนึ่งปิดปากของตนเอง และอีกข้างปิดปากให้น้องสาว ดวงตาเล็กเหลือบมองแม่เลี้ยงใจร้าย เดินไปทิ้งกายลงนั่งบนตั่งไม้ ที่เขากับน้องสาวเอาไว้เอนกายลงนอน ความขลาดกลัวทำให้เด็กชายกับน้องสาวหยุดสะอื้นไห้ไปโดยปริยาย
“ดี อยู่เงียบ ๆ กันแบบนั้นแหละ แล้วอย่าคิดวิ่งหนีอีก รอฉันจัดระเบียบความคิดที่กำลังตีกันให้วุ่นเสร็จก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี”