1
แคว้นซีฉาง ตำบลผิง เมืองฮุ่ย ห่างจากเมืองหลวงราวๆ 1,000 ลี้
เช้าวันนี้ฟ้าสว่างเร็ว และฝนตกหนักตั้งแต่กลางดึก หลังฝนหยุดตก อากาศค่อนข้างอบอ้าว
อวี้เพ่ยเอ๋อร์เพิ่งเดินออกจากการไปส่งผ้าปักหลายผืน บริเวณตรอกถนนซึ่งเต็มไปด้วยสตรีหากิน อันเป็นแหล่งซึ่งมีทั้งขุนนาง คนร่ำรวย แม้แต่ขอทานยังมาซื้อบริการสาวงาม รวมถึงหนุ่มๆ นักดนตรี ที่ใช้ทั้งความสามารถและร่างกายแลกเงิน ถนนฝั่งทิศใต้นี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีบ่อนการพนันทั้งใหญ่และเล็ก ซ่อนตัวอยู่ตามมุมต่างๆ คือพื้นที่ซึ่งทางการและขุนนางเมืองฮุ่ย พยายามหลับตาไว้ข้างหนึ่ง ด้วยทำให้พวกเขาสามารถรีดไถเงินจากการกระทำผิดกฎหมายเข้ากระเป๋าตนได้อย่างง่ายดาย
นอกจาก การปักผ้าเพื่อเลี้ยงชีพ อวี้เพ่ยเอ๋อร์ยังส่งขนมอบไส้หมูซึ่งเป็นสูตรต้นตำรับบ้านเดิมที่โรงเหล้า เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อย อวี้เพ่ยเอ๋อร์ก็รีบร้อนอยากกลับเรือน ซึ่งนางได้ทั้งผ้าปักชุดใหม่ และของสำคัญที่ต้องใช้ครบแล้ว
และนางต้องยอมเจียดเงินถึงห้าสิบอีแปะ เพื่อจ้างรถม้าพาตนเดินทางไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ห่างย่านการค้าเมืองฮุ่ยราวๆ สิบลี้ ที่พักพิงนี้ นางอาศัยได้เกือบสามปีเศษ
ขณะที่รอรถม้าด้วยความกระวนกระวายใจ จางเจี้ยนสตรีวัยกลางคนก้าวมาถึงตัวอวี้เพ่ยเอ๋อร์ เอ่ยทักด้วยความห่วงใย
“ฮูหยินเจี่ยง เอาอย่างนี้ไหม ให้อาถงไปส่งเถิด รถลาลากของลูกชายข้า แม้ไม่เร็ว แต่ปลอดภัย แถมเจ้าไม่ต้องจ่ายอะไรฟุ่มเฟือย ช่วงนี้ใกล้หน้าหนาว ประหยัดไว้เป็นดีที่สุด”
อวี้เพ่ยเอ๋อร์ อ้ำอึ้งทันที นางไม่อยากเสียเวลาอยู่ในเมืองอีก และยิ่งไม่ต้องการให้คนรู้จักตามกลับเรือน ซึ่งขึ้นชื่อว่าซื้อหาด้วยเงินสกุลเจี่ยง และตัวนางคือสะใภ้ มีฐานะเป็นฮูหยินเจี่ยง
“โอ้ ป้าเจี้ยน ต้องขอบใจท่านยิ่งนัก แต่ข้ามีหลายสิ่งให้ต้องรีบกลับเรือน อีกทั้งมีผ้าบางส่วนต้องขนกลับไปปักเพิ่ม หากให้อาถงเทียวไป เทียวมา เกรงว่าคงเสียเวลาเปล่าๆ” อวี้เพ่ยเอ๋อร์
กล่าวถึงชิงถง ลูกชายหญิงวัยกลาวคนผู้นี้ และนางรู้ว่า ชิงถงมักแอบมองตน ด้วยสายตาเร่าร้อน
จางเจี้ยนส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เมื่อครู่นางสังเกตอวี้เพ่ยเอ๋อร์อยู่นาน จึงจับพิรุธได้ ทั้งเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่เน้นรัดกุม แขนเสื้อปิดถึงข้อมือ สวมชุดหลายชั้น บริเวณลำคอระหงยังมีผ้ามาพันทับ ซึ่งวันนี้อบอ้าวอยู่สักหน่อย มองอย่างไรก็ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่า อวี้เพ่ยเอ๋อร์ปกปิดผิวใต้ร่มผ้า หรือว่านางถูกผู้ใดทุบตีมาหนอ นั่นคือสิ่งที่ชิงเจี้ยนคิดในใจ หากไม่ได้เอ่ยถาม นางเกรงว่าจะเสียมารยาทเกินไป กระนั้นก็ห่วง สตรีใช้ชีวิตคนเดียวต่างถิ่น ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยต่อคนคิดร้ายนัก
“โถ คนกันเองแท้ๆ อีกอย่าง อาถงใช่ว่าจะไม่เคยไปส่งเจ้าที่เรือน ดูเอาเถิด หนนี้รีบร้อนจนข้าพลอยตกอกตกใจไปด้วย หรือจะมีเรื่องที่เจ้าบอกผู้อื่นไม่ได้!” สุดท้ายชิงเจี้ยนก็หลุดปากถาม
คำถามนั้น เสมือนออกจากปากผู้พิพากษาที่นั่งอยู่ในศาล พลอยให้หญิงสาวเหงื่อแตก มือเรียวถูกันไปมา หัวใจอวี้เพ่ยเอ๋อร์เต้นไหวในจังหวะที่เร็วกว่าปกติ กระทั่งดึงสติตนกลับคืน จึงตัดบทสนทนาครั้งนี้ด้วยการหาเรื่องโกหกอีกฝ่าย “เอ่อ อย่าให้ข้าต้องอับอายไปกว่านี้เลยนะป้าเจี้ยน คือ ข้าเป็นช่วงเวลาของผู้หญิงพอดี ปวดท้องมากด้วย และอ่อนเพลียจึงต้องการพักผ่อน อีกอย่างตอนออกจากเรือน ก็ทำเรื่องขายหน้าเหลือเกิน เพราะรีบจน.. ไม่ได้เตรียมตัวให้ดี”
ชิงเจี้ยนไม่ใช่คนโง่ แม้ปากมาก ทั้งยังเซ้าซี้เก่ง แต่พยักหน้าเข้าใจ “เช่นนั้น เดี๋ยวข้าช่วยตามรถม้าคันใหม่ ให้เจ้าแล้วกัน และอยากจะได้ผ้าซับเลือดหรือไม่”
“เมื่อครู่ ตอนที่ไปส่งขนมอบที่หอดาวเรือง พี่สาวข้างในช่วยเหลือข้าแล้ว จะว่าไปพวกนางล้วนมีน้ำใจ”
อวี้เพ่ยเอ๋อร์เอ่ยจบก็แสดงท่าทีเป็นกังวลอีก และดูเหมือนรีบ ที่ต้องรีบเช่นนั้น ด้วยใจนางนึกห่วงใครบางคนที่นางซ่อนตัวเขาไว้ในโรงเก็บฟื้น อันที่จริงนางไม่ควรทำเยี่ยงนี้แต่แรก มันคือความผิดครั้งใหญ่ที่นางกล้าฝืนกระทำ ทั้งที่รู้ว่าตนอาจต้องตกนรก ถูกพิพากษาว่าเป็นสตรีซึ่งสวมหมวกเขียวให้แก่ป้ายวิญญาณสามี!
ทว่าอีกฝ่ายยื่นมือช่วยเหลือนางไว้ ทั้งที่บาดเจ็บหนัก และนางเห็นแผลถูกฟันที่กลางแผ่นหลัง มีแผลจากลูกธนูบริเวณหัวไหล่ แต่เขากลับไม่ลังเลที่จะยื่นมือปกป้องนางจนต้องได้รับพิษร้ายจากอสรพิษตัวนั้น
ซึ่งอีกฝ่ายคือชายตัวโต มีหนวดเคราขึ้นเขียว คราแรกนางเห็นเพียงแค่เงาลางๆ จึงประเมินว่าอาจเป็นหมีป่ามากกว่าจะเป็นคนด้วยซ้ำ ทว่าน้ำเสียงอันอ่อนโยน และความอบอุ่นอย่างประหลาด ซึ่งถ่ายโอนมาจากร่างกายแกร่ง ส่งผลให้อวี้เพ่ยเพ่ยไม่อาจปฏิเสธน้ำใจผู้อื่น เมื่อเขาช่วยเหลืออย่างเอาชีวิตเข้าแลก นางจำต้องตอบแทนผู้มีพระคุณ
และยามนั้น ภาพเหตุการณ์ระทึกขวัญก็ปรากฏในห้วงความคิดหญิงสาว