บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 1 (ep1.)

สปอร์ตหรู เบนท์ อีคลาส สีเทาของขวัญชิ้นแรกซึ่งถูกส่งมอบให้เจ้าของร่างบางอรชรวัยยี่สิบห้าที่ดูสวยหวานและอ่อนเยาว์ราวสาวน้อยอายุไม่เกินยี่สิบ หลังจากเธอเรียนจบปริญญาโทด้านเทคโนโลยีด้านสารสนเทศ วันนี้เป็นวันแรกที่เธอได้ฉลองของขวัญด้วยการขับมายังห้างสรรพสินค้าชื่อดังเพื่อซื้อของที่จำเป็นและกำลังวาดลวดลายการขับเคลื่อน แล่นฉิวออกจากห้างดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าจะไปสู่สถานที่นัดหมายของกลุ่มเพื่อนในการเลี้ยงฉลองการเรียนจบ

เมื่อขับมาสักพักใบหูก็แว่วได้ยินโทรศัพท์ซึ่งดังแข่งกับเสียงเพลงที่เธอเปิดฟังไปร้องคลอไป มือเรียวบางจึงยื่นไปหมายจะหยิบโทรศัพท์ แต่ว่ามันดันลื่นตกลงไปซอกข้างเบาะ

“โอ๊ะ”

ทอแสงอุทานเบา ๆ ครั้นจะจอดก็ไม่ใช่ที่เพราะถนนกำลังว่ารถไม่ติด จึงค่อย ๆ ชะลอความเร็วแล้วยื่นมือลงไปควานหาโทรศัพท์รุ่นใหม่

แต่ว่าเจ้าสมาร์ทโฟนมันดันตกลึกทำให้เธอไม่สามารถจะหยิบได้จึงสอดส่ายสายตามอง แล้วก็เห็นหมายจะคว้าแต่ทว่า..

...ปึง..

“โอ๊ะ!”

ทอแสง สาวน้อยวัยยี่สิบห้าถึงกับสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ารถของเธอกระแทกกับอะไรสักอย่างเข้าอย่างจัง แม้ว่าเธอจะผ่อนความเร็วลงแล้วก็ตาม

เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับดึงเบรกแล้วสอดส่ายสายตางามมองไปยังบั้นท้ายของเบนท์อีคลาสรุ่นเดียวกับของเธอที่ยังใหม่ป้ายแดงเช่นเดียวกัน แต่รถฝาแฝดของเธอเป็นสีน้ำตาลทอง

“บ้าจังทำไมมาจอดเกะกะแบบนี้นะ”

เธอบ่นอุบก่อนจะหยิบโทรศัพท์กดหมายเลขไปยังที่หนึ่ง

“นี่คุณ”

เสียงหนึ่งดังมาอย่างหงุดหงิดหลังจากที่เขาเปิดประตูรถออกมาแล้วเห็นสภาพบันท้ายของรถ ถูกจูบเข้าอย่างจัง เขาเดินตรงมาหารถคู่กรณีพร้อมกับทุบกระจกให้เธอเปิดประตู แต่ทอแสงแค่เลื่อนกระจกลงแล้วมองหน้าเขาหมิ่น ๆ

“แทนที่คุณจะดูว่าคนในรถมีใครเป็นอะไรไหม จะช่วยอะไรได้บ้าง คุณกลับหยิบโทรศัพท์มากดหาอะไร”

น้ำเสียงทุ้มของหนุ่มไทยวัยสามสิบที่สูงสง่า หล่อสมาร์ท เจ้าของผิวสีแทน หน้าเข้ม ตาคม จมูกโด่งปากแดง ผมตัดสั้นได้รูปทรงอย่างประณีต เขาสวมสูทเนื้อดีสีกรมท่าราคาแสนแพง เขายื่นมือรั้งเจ้าสมาร์ทโฟนในมือเรียวบางของเธอมาถือไว้

“เอ๊ะ! กล้าดียังไง เอามานะ”

ทอแสงพยายามจะยื่นมือไปแย่งโทรศัพท์ของเธอกลับคืน ทำให้เธอเปิดประตูรถออกมาแล้วก้าวเข้าไปหาเขา แต่ทว่าเพียงแค่เขายกมือขึ้นเธอก็เขย่งสุดปลายเท้าก็ยังไม่สามารถคว้าโทรศัพท์คืนมาได้

“จะเอายังไง”

เธอแผดเสียงถามเขาอย่างหัวเสีย

“พูดมาเลยฉันรีบ”

“มารยาทน่ะ มีไหม”

เธอเม้มปากแน่น

“คุณชนรถผม อันดับแรกคุณควรเปิดประตูออกไปดูว่าคนในรถมีใครบาดเจ็บหรือไม่ นี่อะไร กลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาอะไรไม่ทราบ”

ปรมัตถ์ เจ้าของบริษัทพีเอ็มอินดัสตรีส์ ผู้ผลิตปุ๋ยที่ใหญ่ที่สุดในเขตภาคใต้ วัยสามสิบปี หนุ่มโสดแต่อาจจะไม่สด จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านภูมิสารสนเทศศาสตร์ นึกฉุนกับคนตรงหน้าที่เขาคิดว่าเป็นเด็กที่เพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หรือเด็กใจแตกลูกคนรวยที่ไม่ยอมเรียน

“ก็เห็นอยู่นี่ว่าคุณไม่เป็นอะไร”

ทอแสงลอยหน้าลอยตาพูดแล้วก็ใช้จังหวะที่ปรมัตถ์เผลอทำท่าจะหยิบโทรศัพท์กลับแต่เขาก็เร็วมากกว่าที่ฉวยไปไว้ด้านหลังของตน

“อะไรนะ”

เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยถาม

“เอามา ฉันจะโทรเรียกประกัน มันคือสิ่งแรกที่เราต้องทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุ”

เธอพูดพร้อมกับแบมือและกระดิกนิ้ว ทำให้เขานึกโกรธจนพูดไม่ออก

“หรือคุณจะซ่อมเอง ตามใจนะ แค่โทรศัพท์เครื่องเดียว ซื้อใหม่ได้”

เธอพูดจบก็เดินนวยนาดมาที่ประตูเตรียมจะเปิดออก

“อ้อ ถือว่าโทรศัพท์นั่นเป็นค่าสึกหรอก็ได้นะ”

เธอพูดจบก็ยิ้มแล้วเตรียมเปิดประตู แต่เขาก็เร็วมากพอที่จะก้าวฉับ ๆ ไปดันประตูไว้แล้วรั้งร่างบางเหมือนจะโยนเธอออกไปจากรถของเธอก่อนจะชี้หน้าเธอ

“มันก็จริงที่คุณควรเรียกประกัน แต่ก่อนที่คุณจะเรียกประกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ควรแสดงน้ำใจด้วยการไปดูว่ามีใครเป็นอะไรหรือไม่และช่วยเขาก่อน”

เธอเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับมองสำรวจดูร่างกายของเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าที่มันปลาบด้วยรองเท้าราคาหมื่น

“แล้วคุณบาดเจ็บตรงไหนล่ะ”

ปรมัตถ์วางมือลงที่อกด้านซ้ายทันที

“ตรงนี้ไง”

เธอเบ้ปากแล้วอาศัยจังหวะที่เขาเผลอมองหน้าสวย ๆ ของเธอในกรอบผมม้าปิดคิ้วเรียวสั้นแค่คอ หวีเรียบ ๆ ลงมาแบบไม่มีเครื่องประดับ กับสวมเสื้อสีครีมเป็นผ้าซีทรูพลิ้วสบาย ๆ เข้ากับกางเกงขาสั้นสีเขียวอ่อน โชว์เรียวขาขาวที่เรียวสะอาดกับน่องขาวกลมกลึงไร้ไขมันส่วนเกิน กระโดดแย่งโทรศัพท์ไปจากมือเขาแล้วกดเบอร์โทรหาประกันทันที

“เรียบร้อย แต่ว่า ฉันไม่มีเวลามาพูดกับคนไม่รู้กาลเทศะหรอกนะ”

เธอพูดจบก็โบกมือเรียกแท็กซี่ที่ผ่านให้จอดแล้วเปิดประตูก้าวขึ้นไปทันทีพร้อมกับส่งจูบมาให้ปรมัตถ์ก่อนจะยกมือโบกแล้วจากไป ทำให้ปรมัตถ์ได้แต่นึกขุ่นเคืองอยู่ในใจกับเด็กสมัยนี้

เธอกล้าทิ้งรถราคาเป็นล้านที่เพิ่งถอยออกมาได้ไม่นานเพราะยังติดป้ายแดงอยู่ โดยไม่สนใจว่ารถจะเป็นอะไรหรือไม่ เพียงแค่โทรเรียกประกันแล้ว

“เด็กสมัยนี้ จริง ๆ เลย พวกลูกเศรษฐี ไม่รู้จักไปเรียน ดีแต่เที่ยวไปวัน ๆ กับถลุงเงินเล่น”

ปรมัตถ์ส่ายหน้าไปมาก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในรถของเธอ ก็มองเห็นข้าวของที่เธอเพิ่งซื้อมาจากห้างดังและที่สะดุดตาที่สุดก็คือ สมุดเล่มหนึ่งหน้าปกเป็นรูปของเธอเอง เขาหยิบสมุดเล่มนั้นแล้วปิดประตูรถของเธอก่อนจะเดินไปยังรถของเขา

“บ้าจริงเลย อีตาบ้าทำเราเสียเวลา”

ทอแสงบ่นอุบเมื่อนั่งรถมาได้สักครู่

“ตายแล้ว! ลืมของไว้ในรถ”

เธอยกมือทุบที่ศีรษะ

“พี่คะ เลี้ยวรถกลับไปที่เดิมค่ะ”

เธอบอกคนขับก่อนจะโทรศัพท์ไปหาเพื่อนเพื่อบอกว่าเธอคงไปสายเพราะเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย แต่ว่าเมื่อรถเลี้ยวไปยังที่เกิดเหตุเธอก็ไม่เห็นทั้งรถของเธอและรถของชายคนนั้น

“บ้าจริง”

เธอกดเบอร์หาประกันเพื่อสอบถามรถ ก็รู้ว่าบริษัทได้ให้คนที่อู่มาลากรถเธอไปแล้ว เธอจึงตามไปที่นั่นเพื่อเอาของในรถ แต่ว่า มันมีสิ่งหนึ่งที่หายไป ไม่ว่าเธอจะค้นหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

“พี่คะ”

เธอตรงไปหาช่างซ่อมรถ

“เห็นสมุดโน้ตของฉันหรือเปล่า”

หัวหน้าช่างเดินเข้ามา

“มีอะไรหรือครับ”

“สมุดโน้ตหายค่ะ”

หัวหน้าช่างหันไปมองลูกน้องคนที่ลากรถของเธอมาแล้วไต่ถามสรุปก็คือพวกเขาไม่ได้เอาไป

“แล้วหายไหนนะ”

ทอแสงครุ่นคิดก็ทำให้นึกถึงเจ้าของใบหน้าสีเหลี่ยมได้รู้ที่คมขรึมคนนั้นขึ้นมา

“ไอ้หมอนั่นแน่เลย จะเอาไปทำกระดาษเช็ดตูดหรือไง บ้าที่สุด อย่าให้เจอนะ”

เธอหมายมาดในใจ ที่แรกก็ชิว ๆ ครั้นเดินมาถึงรถแท็กซี่ เธอก็หงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเนื้อหาในสมุดเล่มนั้น

“อ๊าย สมุดโน้ตของฉัน บันทึกทุกอย่างไว้ในนั้น บ้าจริงเอาไปทำไมนะ”

ทอแสงรีบหยิบข้าวของที่ซื้อมาเอาไปใส่รถแท็กซี่แล้วตรงไปหาเพื่อนยังที่นัดหมายแม้ในในยังกรุ่นอยู่กับใบหน้าท่าทางทียียวนของเจ้าของร่างกำยำสูงใหญ่และสง่างามคนนั้น เจ้าของดวงตาที่ทรงพลังจนทำให้เธอจำได้ติดตา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel