บทที่ 6 พี่ชายข้างบ้าน 1.1
บัณฑิตานั่งมองเจ้าของห้องที่จับโยนเสื้อผ้าลงมาบนเตียง เธอมองชุดสวยจากแบรนด์เนมดังที่มีทั้งใส่แล้วและยังไม่ใส่ สลับกับมองหน้าเพื่อนรักที่ไม่คิดจะหยุดการกระทำของตัวเอง
“นี่เนย แกจะโละทิ้งเสื้อผ้าทั้งตู้เลยหรือไง” บัณฑิตาอดที่จะถามไม่ได้
“ก็เสื้อผ้ามันเก่าแล้ว บางตัวฉันก็ใส่ไม่ได้ เอาไว้ในตู้ก็รกเปล่าๆ เอาไปบริจาคให้คนอื่นดีกว่า” ชเนตตีพูดพร้อมกับโยนเสื้อผ้าชุดสวยที่ไม่ต้องการลงไปกองกับอีกหลายสิบชุด
“แต่ที่ฉันเห็น บางตัวแกยังไม่ใส่เลยนะ ดูตัวนี้สิ ป้ายราคายังไม่แกะออกเลย โอ้โห! ตัวล่ะตั้งหมื่นเจ็ด แกจะโละทิ้งเหรอ”
ผู้พูดคว้าชุดเดรสราคาแพงออกจากกอง ก่อนจะยื่นให้เพื่อนดู แต่ทว่าเจ้าของเสื้อผ้าไม่สนใจคิดจะหันมามอง
“ฉันไม่ชอบตัวนั้น ใส่แล้วมันไม่เข้ากับฉัน” ชเนตตีบอกทั้งที่ไม่หันไปมองว่าเพื่อนรักหมายถึงชุดไหน
“แล้วแกซื้อมาทำไม”
“ก็อยากซื้อ” ชเนตตีตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันรวย มีเงิน จบป่ะ”
“เออจบ แกพูดอย่างนี้ฉันไม่จบก็คงไม่ได้”
บัณฑิตารู้ว่าเพื่อนรักรวย และรวยมากด้วย แต่เธอก็คิดว่า หากใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและไม่เห็นคุณค่าของเงินแบบนี้ รวยแค่ไหนก็หมด
“แกว่าฉันจะเอาไปบริจาคที่ไหนดีล่ะ ช่วยคิดหน่อยสิ ฉันคิดไม่ออก”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชเนตตีนำเสื้อผ้าราคาแพงของตนไปบริจาคตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานสงเคราะห์ สถานกักขังเยาวชนหญิง สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล บ้านพักฉุกเฉิน ประชาสงเคราะห์และอีกหลายแห่ง จนเธอไม่รู้ว่าจะไปบริจาคที่ไหนแล้ว
“ฉันว่านะ แกเอาไปบริจาคให้สถานที่ต่างๆ เป็นเสื้อผ้ามันก็ได้ประโยชน์อะไรไม่มาก แกลองคิดดูนะว่า เสื้อผ้าแกแต่ละชุดดีๆ และอลังการทั้งนั้น แกคิดเหรอว่าคนที่แกบริจาคให้เขาจะใช้ประโยชน์จากมันได้เต็มที่ อย่างชุดราตรีชุดนี้ แกคิดว่าใครจะบ้าใส่อยู่กับบ้าน มันเป็นชุดออกงานหรูนะแก แล้วสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านปรานี หรือสังคมสงเคราะห์จะเอาชุดของแกไปบริจาคให้ใคร ฉันไม่ได้ดูถูกนะ แต่ชาวบ้านร้านตลาดมีโอกาสใส่เหรอ”
“แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ” ชเนตตีถามอย่างจนปัญญา
“ฉันว่านะแกเอาไปขายแล้วเอาเงินไปบริจาคดีกว่า เงินที่แกบริจาคยังช่วยเหลือได้เต็มที่มากกว่าเสื้อผ้าที่จะเอาไปให้พวกเขา” บัญฑิตาเสนอความคิดเห็น
“เอาไปขายเหรอ” เจ้าของเสื้อผ้าพูดเชิงถาม “ไปขายที่ไหนล่ะ”
“อีกสามวันจะมีตลาดนัดไฮโซ คุณหญิงประภาพรเป็นคนจัดงาน พวกเซเลบทั้งหลายจะเอาข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่ใช้แล้วมาขาย แล้วเอาเงินที่ขายได้ไปบริจาคให้มูลนิธิคุณหญิงประภาพร เพื่อไปเป็นทุนการศึกษาของเด็กขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเรียน ฉันว่าแกทำอย่างนี้ยังได้ประโยชน์มากกว่านะ” บัณฑิตาเสนอ ชเนตตีคิดตาม
“ไปขายของก็ต้องยืนขาย แถมต้องบอกราคาตัวนั้นตัวนี้อีก ยืนขายก็เมื่อย พูดมากก็เมื่อยปากแล้วยังจะต้องเหนื่อยอีก สู้ฉันเอาเงินไปบริจาคเลยไม่ดีกว่าเหรอ ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยแถมยังได้บุญ”
คนที่ไม่อยากเหนื่อยพูดขึ้น แค่คิดชเนตตีก็เหนื่อยแล้ว หากทำจริงๆ คงไม่ไหว วิธีการบริจาคด้วยเงินน่าจะสบายที่สุด
บัณฑิตากลอกตาไปมากับความไม่เอาถ่านของเพื่อนรักที่นับวันจะมากขึ้นและมากขึ้น จนเธอเองไม่รู้ว่าจะเตือนอย่างไรดี เพราะพูดไปก็เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา
“แกก็ขยับตัวทำโน่นทำนี่บ้างสิ ไม่ใช่นั่งกินนอนกิน ดีแต่เที่ยวกับซื้อของ ดูสิแกเริ่มจะอ้วนขึ้นนะ พุงก็ออกนิดๆ แล้ว ขืนขี้เกียจทำอะไรนั่งกินนอนกิน ฉันว่าแกจะกลายเป็นธิดาช้างเข้าสักวัน” ประโยคนี้เองที่ทำให้ชเนตตีรีบลุกขึ้นยืนแล้วไปหมุนดูตัวเองหน้ากระจก
“ฉันอ้วนขึ้นเหรอ ทำไมฉันไม่รู้สึกเลยล่ะ”
“แกจะรู้สึกได้ยังไงเพราะแกไม่ได้มองเห็นตัวเองนี่ ฉันมองเห็นแก ฉันเลยพูดได้”
“มิน่าล่ะ ฉันถึงใส่ชุดที่เพิ่งซื้อมาอาทิตย์ก่อนไม่ได้ ที่แท้อ้วนขึ้นนี่เอง” ชเนตตีบ่นอยู่หน้ากระจก
“ทีนี้แกจะทำอะไรเพื่อที่จะลดความอ้วนได้หรือยัง ไปทำงานกับคุณป้าก็ได้นะ ไปฝึกๆ ไว้ถ้าเผื่อคุณป้าวางมือเมื่อไหร่แกจะได้ทำงานแทนได้”
บัณฑิตาแนะนำเพื่อนด้วยความหวังดี เรียนจบมาหนึ่งปีแล้วแต่ชเนตตีไม่คิดจะเรียนต่อ หรือแม้แต่จะทำงาน ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ทำตัวลอยชายไม่คิดจะทำอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้สุภัทราบริหารงานเพียงคนเดียว ไม่คิดจะไปช่วยแบ่งเบาภาระ ส่วนตัวเธอนั้นก็ไม่ได้นิ่งเฉย ระหว่างรอการตอบรับจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ ประเทศที่เธอจะไปศึกษาต่อ บัณฑิตาก็เข้าไปฝึกงานในบริษัทของครอบครัวไปพลางๆ ไม่ได้ทิ้งเวลาไปวันๆ เหมือนชเนตตี
“งั้นไปกันเลย” เจ้าของห้องพูดขึ้นขณะที่เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายมาคล้องบ่า
“ไปไหน อย่าบอกนะว่าแกจะไปทำงานที่บริษัทหรือว่าจะไปออกกำลังกาย” คนพูดคาดเดา
“เปล่า” ชเนตตีตอบสั้นๆ “ไปช็อปปิ้ง ไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เพราะชุดเก่าฉันใส่ไม่ได้แล้ว”
“ยัยเนย แกฟังที่ฉันพูดหรือเปล่าเนี่ย” บัณฑิตาแหวใส่
“ก็แกบอกให้ฉันขยับตัวทำอะไรบ้างไม่ใช่เหรอ ฉันก็จะทำอยู่นี่ไง การไปช็อปปิ้งคือการขยับตัวหรือออกกำลังกายอย่างหนึ่งไง ขยับขาเดินก็ออกกำลังกายขา มือก็ขยับเลือกซื้อเสื้อผ้ากับจ่ายตังค์ ฉันก็ถือว่าบริหารมือ ยิ่งซื้อมากยิ่งได้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก เห็นไหมว่าฉันขยับอย่างที่แกบอก ไปเหอะ ฉันอยากใช้เงินเต็มแก่แล้ว”
เป็นคำแก้ตัวที่บัณฑิตาได้ยินแล้วอยากจะเอาหัวโหม่งพื้น นิสัยของชเนตตีแก้ไม่หายกับเรื่องนี้ ซึ่งเธอคิดว่าคงไม่มีวันหายง่ายๆ คนถูกฉุดและหวังดีกับเพื่อนจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องพร้อมกับเพื่อนสนิทอย่างเสียมิได้ ทั้งยังไม่อาจห้ามชเนตตีได้ด้วย
ตกค่ำ
รถเก๋งของชนกนันท์ขับมาจอดในโรงรถ ก่อนที่เธอจะก้าวลงมาพร้อมกับถือแฟ้มเอกสาร จากนั้นก็เดินไปยังตัวบ้าน แต่ระหว่างนั้น เธอรู้สึกเหมือนกับว่า มีใครบางคนเดินตามหลังมาหญิงสาวจึงหมุนตัวไปมอง
“ว้าย!” ชนกนันท์อุทานเมื่อร่างของตนกระทบกับกำแพงหนาแต่นุ่ม “พี่เจย์”
รอยยิ้มระบายเต็มดวงหน้าหวานสวยเมื่อรู้ว่า กำแพงหนาที่ว่านี้คือใคร เธอสวมกอดร่างของคนรักทันที ซบใบหน้ากับอกอบอุ่น
“เซอร์ไพรส์ครับสาวน้อย” ไอศูรย์พูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะสวมกอดร่างเล็กที่ตนแสนคิดถึง จูบกลางกระหม่อมของเธออย่างสุดจะรัก “คิดถึงเหลือเกินคนดีของพี่”
“นกคิดถึงพี่เจย์ที่สุดเลยค่ะ” เธอรำพันความคิดถึงให้เขาฟังบ้าง “พี่เจย์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“กลับมาตั้งแต่เที่ยงแล้ว อยากมาหานกใจแทบขาดแต่คุณแม่บอกว่านกไปทำงาน พี่ก็เลยมาดักรอนกตรงนี้” เขาตอบ มือใหญ่ดันร่างสาวให้ออกห่าง “พี่มีของจะให้นกด้วย”
“อะไรคะ” เธอถามกลับเสียงนุ่ม คลี่ยิ้มพิมพ์ใจให้ไอศูรย์
“หัวใจของพี่กับดอกไม้” ไอศูรย์ยื่นดอกกุหลาบสีชมพูที่เด็ดออกมาจากต้นที่ปลูกไว้ในบ้านตรงหน้าเธอ ชนกนันท์ยิ้มกว้าง หน้าแดงปลั่งยกมือมารับดอกกุหลาบสีชมพูรวมเก้าดอกที่เขามอบให้
“หอมจังค่ะ สวยด้วย” หญิงสาวเอ่ยบอก
“คราวนี้มันมาครบเก้าดอกนะ ไม่หล่นหายเหมือนสิบปีก่อน วันที่พี่ไปเรียนต่อ”
เมื่อสิบปีก่อนในวันที่เขาต้องเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ไอศูรย์ได้นำดอกกุหลาบที่ตนปลูกกับมือมาให้ชนกนันท์เป็นจำนวนเก้าดอก ทว่าอีกดอกหนึ่งเขาได้ให้ชเนตตีไป จึงเหลือเพียงแปดดอก แต่วันนี้มันมาครบทั้งเก้าดอกตามความตั้งใจ
“จะมากี่ดอกนกก็จะรับไว้ด้วยใจค่ะเพราะเป็นสิ่งที่พี่เจย์ให้นก” เธอไม่ซีเรียสในเรื่องนี้ ขอเพียงเป็นสิ่งของที่เขาให้ ชนกนันท์ยินดีและเต็มใจที่จะรับ ไอศูรย์ยิ้มก่อนจะเดินจูงมือคนรักไปยังศาลาไม้ระแนง
ระหว่างที่ทั้งคู่จับจูงกันเดินไปนั้น ชเนตตีก็กำลังจะไปที่นั่นพอดี เพราะเธอลืมหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ และนั่นทำให้เธอมองเห็นภาพของน้องสาวเดินจูงมือกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่เป็นเพราะจุดที่ทั้งสองเดินแสงไฟมีค่อนข้างน้อย ทำให้ชเนตตีมองไม่เห็นใบหน้าของฝ่ายชาย
“ใครเดินกับนก” ชเนตตีถามตัวเอง “จูงมือกันด้วยแฮะ อย่างนี้ต้องย่องดู”
ว่าแล้วเธอก็ทำตัวเป็นแมวย่องใช้ความมืดของสถานที่อำพรางตัวเอง หลบหลีกสายตาของทั้งคู่ที่เดินไปยังศาลาไม้ระแนง ก่อนที่เธอจะมายอบตัวนั่งด้านหลังต้นหูกวางต้นใหญ่ แล้วลอบมองดูสองคนที่ทรุดกายนั่งเมื่อถึงจุดหมาย
แสงไฟจากศาลาไม้ระแนงทำให้ชเนตตีมองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นได้เต็มตา ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยอาการตกใจ แต่ทว่าใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มเมื่อรู้ว่า ผู้ชายที่เห็นคือ ไอศูรย์หรือพี่เจย์ บุรุษที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่เด็ก แต่แล้วรอยยิ้มก็ต้องหุบทันควันกับภาพความสนิทสนมของไอศูรย์กับชนกนันท์
ภาพนั้นทำให้ชเนตตีพอจะคาดเดาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการจับมือถือแขน การนั่งเบียดชิดที่แทบจะหลอมเป็นคนเดียวกัน และนั่นทำให้ความสงสัยและคำถามเกิดขึ้นในใจของเธอทันทีว่า ไอศูรย์รักกับชนกนันท์ตอนไหน เมื่อไหร่และนานหรือยัง
แม้ว่าชเนตตีจะอยู่บ้านรั้วเดียวกัน แต่ก็เหมือนกับคนไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างอยู่ไม่เคยไปมาหาสู่เหมือนกับที่ควรจะเป็น สุภัทราตัดขาดกับสิโรจน์อย่างจริงจัง ไม่ไปข้องแวะหรือเหยียบไปที่บ้านหลังนั้นอีกเลยนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น
แล้วด้วยความห่างเหินที่มีมากขึ้นของบิดามารดา ทำให้สิโรจน์มาพูดคุยเรื่องหย่ากับสุภัทรา ทว่ามารดาของเธอไม่ยอม บอกบิดากลับไปว่าหากต้องการหย่าก็ต้องฟ้องร้องเอาเอง แน่นอนที่ว่าหากมีเรื่องฟ้องหย่าจริง สิโรจน์จะไม่มีวันชนะเนื่องจากเขาเป็นฝ่ายผิดที่คิดนอกใจและสุภัทราก็ไม่มีความผิดใดๆ ด้วย
ดูเหมือนจะเป็นการแก้แค้นหทัยชนกได้ไปในตัว เพราะฝ่ายนั้นต้องการเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของสิโรจน์ ไม่ต้องการเป็นเพียงภรรยาน้อยแม้ว่าสามีจะยกย่องให้ออกหน้าออกตาทางสังคมก็ตาม สุภัทราไม่หย่าก็เท่ากับว่า หทัยชนกเป็นภรรยาน้อยไปตลอดชีวิต เมื่อเรื่องราวบานปลายเป็นเช่นนี้ ชเนตตีก็พลอยไม่ได้ไปที่บ้านของสิโรจน์อีกเลย จึงไม่ทราบข่าวเรื่องชนกนันท์เป็นคนรักของไอศูรย์
แต่พอได้เห็นกับตาชเนตตีรู้สึกเจ็บจี๊ดในหัวใจที่เห็นคนที่ตนเองแอบรักกลับกลายเป็นคนรักของชนกนันท์ลูกสาวเมียอันดับสองของบิดา เธอรู้สึกเหมือนถูกแย่งของรักไปซึ่งๆ หน้า ด้วยความอยากรู้ว่าทั้งคู่พูดคุยอะไรกัน เธอจึงขยับตัวไปหลบอยู่ด้านหลังพุ่มไม้ที่ปลูกเป็นทางยาวริมรั้ว ระยะห่างจากจุดที่เธอแอบอยู่กับจุดที่ทั้งสองนั่งห่างไม่ถึงสี่เมตร
“เราก็คบกันมาตั้งหลายปีแล้วนะ และตอนนี้เราสองคนก็เรียนจบแล้วทั้งคู่ พี่ว่าถึงเวลาที่เราจะแต่งงานกันเสียที” ไอศูรย์เอ่ยเรื่องที่ตนตั้งใจจะพูดหลังจากที่พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบมาพอสมควร คนฟังยิ้มเขิน ใบหน้าอาบสีแดงเรื่อ “แต่งงานกับพี่นะนก พี่รักนก อยากจะให้นกมาเป็นแม่ของลูกพี่”
ชายหนุ่มเอ่ยขอแต่งงาน กุมมือเล็กไว้ในมือของตน คนถูกขอแต่งงานยิ้มหน้าบาน ดวงตาเปล่งประกายอย่างมีความสุข ใบหน้าแม้จะอาบไปด้วยความเขินอายแต่ก็ยิ้มด้วยความปลาบปลื้ม
“แต่งงานกับพี่นะนก” ไอศูรย์ขอแต่งงานอีกครั้งเมื่อเห็นเธอเงียบ
“ค่ะ นกจะแต่งงานกับพี่เจย์ค่ะ” คนขอแต่งงานยิ้มกว้าง รั้งร่างบางมาสวมกอดไว้แนบแน่น ความดีใจท่วมท้นหัวใจ
“พรุ่งนี้พี่จะให้คุณพ่อคุณแม่มาสู่ขอนกนะครับ”
เขาเอ่ยบอกหลังจากที่คลายอ้อมกอดร่างอรชรแสนโสภาที่นับวันความสวยของเธอจะมากขึ้นและมากขึ้น
“ค่ะพี่เจย์” เธอตอบซ่อนความอายไว้ในแววตา แล้วยิ่งเขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ดวงหน้าสวยยิ่งแดงเถือก ใจสั่นระรัว
หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่แอบดูภาพหวานพลอยใจสั่นและตื่นเต้นไปด้วย เพราะชเนตตีไม่เคยเป็นถ้ำมองมาก่อน เธอยกมือขึ้นปิดตาแต่ก็กางนิ้วออกจ้องมองริมฝีปากของไอศูรย์ที่กำลังแนบลงบนปากของชนกนันท์ ความที่อยากจะแกล้งน้องสาวของตน บวกกับความอิจฉาที่อีกฝ่ายได้หัวใจของไอศูรย์ไปครอง เธอจึงคิดจะทำการบางอย่าง
ชเนตตีหยิบก้อนหินขนาดพอดีมือมาหนึ่งก้อน ก่อนจะเขวี้ยงไปยังหลังคาของศาลาไม้ แล้วหมอบตัวลงกับพื้นหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียวเมื่อเห็นอาการตกใจของทั้งคู่ที่ลุกขึ้นเดินออกไปจากศาลาทันที ส่วนคนที่หมอบหลบอยู่ก็คลานออกมาจากที่กำบัง ลุกขึ้นยืนปัดเศษดินเศษใบไม้ที่ติดตามเสื้อผ้าของตน ทว่าสายตาจับจ้องไปยังร่างของไอศูรย์ที่เดินจูงมือชนกนันท์อย่างใช้ความคิดพร้อมกับแผนการที่ผุดขึ้นตามมา