ตอนที่4 มิใช่ความฝัน
“ท่านอ๋องโปรดสำรวมด้วยเพคะ ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน หากมีผู้ใดรู้เรื่องนี้เข้าไหนเลยจะมีบุรุษดี ๆมาสู่ขอหม่อมฉัน” น้ำเสียงของนางบ่งบอกว่าสิ่งที่เอ่ยนั้นนางคิดเช่นนั้นจริง ๆหาได้เอ่ยอย่างเช่นสตรีที่กำลังเล่นตัวเพื่อเรียกร้องความสนใจจากบุรุษไม่
คำพูดของนางกระตุ้นเลือดในกายของบุรุษตรงหน้าให้เดือดพล่าน เขากระชับวงแขนให้แน่นขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
“ใครกล้า ชาติก่อนเจ้าเป็นของข้า ชาตินี้เจ้าก็ต้องเป็นของข้า หากมีบุรุษหน้าไหนกล้ามายุ่งกับเจ้า เช่นนั้นต้องถามดาบในมือข้าก่อนว่ายอมหรือไม่” น้ำเสียงเย็นเยียบ ใบหน้าเคร่งขรึม
สายตาของเขาเปลี่ยนไปจนสตรีในอ้อมแขนรู้สึกหวาดกลัว ถึงก่อนหน้านี้เขาจะไม่ใส่ใจนาง แต่ก็ไม่เคยมองนางด้วยสายตาเช่นนี้ แต่วันนี้หลายครั้งที่นางหันไปสบตากับเขา ก็มักจะเห็นสายตาดุดันราวเสือร้ายที่จ้องจะขยำเหยื่อเสียทุกครั้งไป ทำให้นางรู้สึกว่าวันนี้เหยาหวังเหว่ยดูแปลกไป
คิ้วของนางขมวดเล็กน้อยในพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมา แต่เพียงช่วงขณะเดียวเมื่อนางนึกถึงคำพูดของเขาขึ้นมาได้ ‘ชาติก่อนเจ้าเป็นของข้า ชาตินี้เจ้าก็ต้องเป็นของข้า’ ดวงตาของนางก็เบิกโตขึ้นทันที
“ชาติก่อนเจ้าเป็นของข้า ชาตินี้เจ้าก็ต้องเป็นของข้า คำพูดนี้ของท่านอ๋องหมายความเช่นไรอย่างนั้นหรือเพคะ” น้ำเสียงดูสงสัย คิ้วขมวดเล็กน้อย สายตาจดจ้องรอคำตอบจากอีกฝ่าย
“เจ้าก็กลับมาเช่นกันสินะ ชายาของข้า” เขาเอ่ยเสียงอ่อนลง เมื่อนึกถึงความผิดที่ทำกับนางเมื่อครั้งก่อน
เพียงได้ยินคำตอบของบุรุษตรงหน้าฟางหนิงหลินถึงกับขาอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง สมองหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยหินพันชั่ง เมื่อรู้ว่านั่นไม่ได้เป็นเพียงความฝันแต่เป็นความทรงจำจากอดีต ถึงนางจะจดจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ แต่นางรู้ว่านางวางยาเหยาหวังเหว่ยจนได้เป็นชายาชินอ๋อง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นนางไม่รู้เรื่องเลย นางจำได้เพียงช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะจากโลกไป ว่านางนั้นถูกย่ำยีและทรมานมากเพียงใดจากคนที่นางรัก และสหายที่นางสนิทมาตั้งแต่วัยเยาว์
เหยาหวังเหว่ยคิดว่าสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนคงตกใจที่เขาเองก็ย้อนเวลากลับมาเช่นกัน และวันนี้ที่นางทำตัวแปลกไปไม่เหมือนดั่งเช่นแต่ก่อน ก็คงเป็นเพราะนางอยากกลับมาแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเช่นเดียวกันกับเขา แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่อยากแก้ไขคือ เขายังคงอยากให้นางเป็นชายาของเขาดั่งเช่นชาติก่อน
แต่ด้วยน้ำหนักของสตรีที่ทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของเขาตอนนี้ ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่านางคงผิดหวังที่เขานั้นได้ย้อนเวลากลับมาเช่นกัน นางคงกลัวว่าเขาจะเข้ามาขวางไม่ให้นางทำในสิ่งที่หวังได้สำเร็จ เพราะนางไม่ได้คิดเช่นเขา นางกลับมาครานี้คงตั้งมั่นแน่วแน่แล้วว่าจะไม่มีวันเชื่อมวาสนาร่วมหอกับเขาเป็นแน่
“ข้ารู้ว่าอดีตข้าทำผิดกับเจ้าไว้มาก แต่ชาตินี้ข้าจะไม่มีวันผิดต่อเจ้า เจ้าอภัยให้ข้าได้หรือไม่” เขาเอ่ยอย่างสำนึกผิดพร้อมส่งสายตาเว้าวอน
เมื่อฟางหนิงหลินได้เห็นสีหน้าและสายตาของเหยาหวังเหว่ยที่ส่งความรู้สึกมายังนางก็ทำให้ใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย เพราะนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่นางรู้จักกับเขา ที่เขาทำสีหน้าและพูดจาเช่นนี้กับนาง แต่เมื่อนางนึกถึงความเศร้าโศกและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในภาพความทรงจำในฝัน นางก็คิดได้ว่านางควรทำเช่นไรกับตนเอง
‘ความรักข้างเดียวที่ทุ่มเทจนสุดตัว สุดท้ายกลายเป็นเพียงสตรีแสนโง่เขลาให้คนดูถูกย่ำยีเหยียบย่ำศักดิ์ศรี แม้แต่ชีวิตของคนในตระกูลก็ต้องจบสิ้น เช่นนั้นชาตินี้ข้าขอเป็นสตรีไร้หัวใจ ใช้ชีวิตเสพสุขไร้พันธะให้สมกับที่สวรรค์ให้โอกาสข้าได้กลับมา’
นางได้แต่คิดในใจ เพราะอย่างไรเสียเขาก็คือชินอ๋อง บุรุษที่หยิ่งทะนง รักศักดิ์ศรีและไร้ปรานีต่อศัตรู ในเมื่อชาติก่อนตระกูลของนางถูกใส่ความจนต้องพบกับความวิบัติ หากวันนี้นางพูดจาไร้ไมตรีไม่ไว้หน้าเขาที่ยอมลดทิฐิมาขอร้องนาง ก็คงจะเป็นการสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งยากแก่การที่ตระกูลของนางจะต้านอยู่
“หากอยากให้หม่อมฉันให้อภัยก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ความเจ็บปวดที่ท่านอ๋องมอบให้ หม่อมฉันเองก็ไม่อาจลืมเลือนไปได้โดยง่าย คำพูดคนเป็นเพียงลมปาก หม่อมฉันมิอาจหลงเชื่อ มิเช่นนั้นไม่สู้ท่านอ๋องทำให้หม่อมฉันเห็นดีหรือไม่เพคะ” นางเอ่ยพร้อมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์
ในเมื่อนางไม่อาจทำให้เขาขุ่นเคืองได้ เช่นนั้นนางก็ทำได้เพียงใช้เขาเป็นโล่และดาบ เพื่อเอาไว้ปกป้องและจัดการกับคนที่คิดร้ายต่อตระกูลของนาง หลังจากนั้นค่อยหาวิธีสลัดเขาทิ้งในภายหลัง
“ได้ เจ้าว่าเช่นไร ข้าล้วนเห็นด้วย” เหยาหวังเหว่ยคลี่ยิ้มอย่างคลายกังวล
เขารู้ดีว่านางมีแผนการบางอย่างซ่อนเร้นเอาไว้ แต่เขาก็ยังยินดียอมตกลงไปในบ่อที่นางขุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอกของนาง ถึงอดีตนางพยายามจะใช้มารยาของสตรีในเรือนหอหลายครั้งเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่แววตาของนางหาได้เป็นเช่นนี้ นางเป็นเพียงสตรีในเรือนหอที่ไร้เดียงสา ดวงตาที่นางมองมาที่เขาเป็นเพียงแววตาที่สตรีใช้มองบุรุษที่ตนรักเท่านั้น แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
“เช่นนั้นท่านอ๋องปล่อยข้าน้อยก่อนได้หรือไม่ หากมีใครมาเห็นเกรงว่าจะดูไม่เหมาะนะเพคะ” นางเอ่ยเสียงหวาน
เหยาหวังเหว่ยค่อย ๆ คลายแขนออกจากสตรีบอบบางอย่างช้า ๆ ราวกับว่าเขายังอยากมีนางไว้ในอ้อมแขนให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ในเมื่อเขารับปากนางแล้วย่อมต้องทำให้นางเห็น จึงไม่คิดฝืนใจนาง
“ท่านอ๋องเพคะ พวกเรากลับเข้าไปในงานเลี้ยงดีหรือไม่เพคะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน
“ใจข้าอยากอยู่กับเจ้าเช่นนี้อีกสักครู่ แต่ในเมื่อเจ้าต้องการ ข้าก็จะไม่ฝืน เพียงแต่ข้าขอกอดเจ้าอีกสักคราได้หรือไม่” เขาเอ่ยเสียงอ่อย ๆ ในประโยคท้ายราวกับกระด้างอายที่จะเอ่ย
ฟางหนิงหลินถึงกับวางตัวไม่ถูกใบหน้าของนางร้อนวูบวาบ ริมฝีปากบนล่างพะเยิบขึ้นลงกึ่งยิ้มกึ่งหุบไม่รู้จะเอ่ยอันใด สมองของนางมึนงงไปชั่วขณะเพราะไม่คิดว่าบุรุษแสนเย็นชาเช่นเขาจะเอ่ยคำเช่นนี้ออกมาได้
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวเลือดในตัวของนางราวกับมารวมไว้บนใบหน้า เมื่อบุรุษตัวสูงกว่าคว้าตัวนางเข้าไปสวมกอด นางยืนนิ่งราววิญญาณออกจากร่าง กว่าจะรู้สึกตัวบุรุษตรงหน้าก็ผละตัวออกเสียแล้ว นางทำได้เพียงหลบตาต่ำทำอันใดไม่ถูก
ใจของเหยาหวังเหว่ยก็อยากจะกอดนางให้นานกว่านี้ เพียงแต่เขากลัวว่าจะอดใจไว้ไม่ไหวจนต้องผิดคำพูดกับนาง แต่ยามนี้เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของสตรีที่แดงปานลูกตำลึงก็อดไม่ไหวที่จะจุมพิตลงไปบนหน้าผากนางอย่างเอ็นดู
“ไปกันเถอะ หากยังอยู่ตรงนี้ข้าคงต้องผิดคำพูดแล้ว”
ฟางหนิงหลินที่ยืนอึ้งหลังจากถูกจุมพิตที่หน้าผาก รีบสาวเท้าออกจากศาลาไปในทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา