ตอนที่ 8 มาช้าก้าวหนึ่ง
ตอนที่8มาช้าก้าวหนึ่ง
หลินซินเยียนใช้พลังทั้งหมดที่มีวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปตลอดทาง สายลมที่พัดข้างหูส่งเสียงร้องคำราม นางไม่กล้าหันไปชำเลืองดูแม้แต่น้อย ได้เพียงแค่วิ่งต่อไปอย่างไม่หยุด!
นางไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไรแล้วเพียงรู้ว่าตอนที่หยุดรู้สึกว่าร่างทั้งร่างหมดแรงไม่มีแรงสักนิดแล้ว
ที่ที่นางหยุดเป็นสะพานที่หัก นางยืนอยู่ตรงหัวสะพาน เท้าของนางหยุดที่ขอบหักพอดีเพียงแค่ก้าวเท้าไปอีกก้าวก็ตกลงไปในน้ำ
กระแสน้ำไหลเชียวอย่างต่อเนื่อง เสียงน้ำที่ไหลไปชนหินก้อนหินใหญ่ได้ยินชัดมาก
“ไม่มีทางแล้ว”หลินซินเยียนถอนหายใจ สายตามืดลง หันกลับมามองอีกก็เห็นนักฆ่าสองคนนั้นกระเสือกกระสนวิ่งตามมาอยู่ไกลๆนั้น
ด้านหน้าเป็นสะพานที่หัก ด้านหลังมีคนตามมาฆ่า ชีวิตเหมือนจะได้จบลงตรงนี้
แต่ว่าหลินซินเยียนที่ได้เป็นคนมาสองชาติ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยยอมแพ้ง่ายๆหากผลลัพธ์ที่ออกมาแย่ที่สุดก็แค่ตายเท่านั้น ไม่เห็นจะมีอะไรที่น่ากลัวเลย
พอคิดเช่นนี้แล้ว มุมปากของหลินซินเยียนก็เหยียดยิ้มอย่างดื้อรั้น นางแหงนหน้าขึ้น แสงจากพระอาทิตย์ส่องลงมากระทบใบหน้าที่ขาวราวกับหยกบริสุทธิ์ของนางจนปรากฏร่องรอยสีเหลืองหม่นออกมา
ชุดผ้าไหมที่ไม่มีสายคาดเอวรัดไว้ถูกพัดลอยตามลมเหมือนภูตที่เต้นรำ ทุกการเคลื่อนไหวก็มีอารมณ์ที่โศกเศร้า
“หากกระโดดลงน้ำไปไม่ตาย สักวันข้าจะต้องตามไปล้างแค้นแน่!”
หลินซินเยียนหันหน้ากลับมาพูดกับนักฆ่าสองคนที่จะเข้ามาแต่สายตาของนางมองผ่านพวกเขาไปยังที่ไกลๆนางไม่ลืมผู้ที่ริเริ่มทำทุกสิ่งนี้แน่ เฉินฮูหยินของจวนแม่ทัพ
หากโดดลงจากสะพานหักลงไปช่วงเวลาที่ร่วงลงไปคงไม่ถึงหนึ่งถึงสองวินาที ฉะนั้นนางไม่มีเวลากลัว ไม่มีเวลาไปคิดตอนจบคืออะไร นางเพียงรู้สึกว่าในช่วงเวลานั้นทั้งโลกเหลือเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“อย่าโดด!”
เสียงร้องตะโกนที่ดังมาจากบนสะพานที่หัก น่าเสียดายที่หลินซินเยียนไม่ได้ยิน
“นายท่านพวกเรามาช้าไปก้าวหนึ่ง!”ซานป่ายที่อยู่ด้านหลังของชายแก่นำชายฉกรรจ์อาวุธครบมือสิบกว่าคนตามมาถึงสะพานหัก
สีหน้าของชายแก่เคร่งขรึมลงกำหมัดแน่นจนสนับมือซีดขาวก็ยังไม่รู้ตัว
“นายท่าน…”ซานป่ายคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เจอหน้าเพียงครั้งเดียวจะมีอิทธิพลต่อนายท่านมากขนาดนี้ เขาเลยปรับตัวไม่ทัน
ชายแก่เรียกสติกลับมาออกคำสั่งอย่างเย็นชาด้วยน้ำเสียงสั่น“สับร่างพวกมันให้เป็นหมื่นชิ้น!”
“ครับ!”ซานป่ายรู้ว่านายท่านให้จัดการกับนักฆ่าสองคนนั้น
แม่น้ำยังคงไหลเชียว ไม่เห็นร่องรอยของคนตกน้ำไปเลยสักนิด เพียงแค่สายลมที่พัดอยู่ริมแม่น้ำหนาวเย็นขึ้นความรู้สึกหนาวเย็นเช่นนี้ทำให้กลุ่มคนที่ยืนอยู่บนสะพานหักหนาวจนตัวสั่นไม่หยุด
“นายท่าน ที่นี่ลมแรง พวกเรากลับกันเถอะ ร่างกายของท่านเพิ่งจะหายดีแถมยังออกมาหลายชั่วยามแล้วหากมีผลสืบเนื่อง...”
“พอแล้วกลับกันเถอะ”ซานป่ายยังพูดไม่จบก็โดนชายแก่พูดตัดหน้า เพียงแค่พริบตาสีหน้าของชายแก่ก็กลับมาเป็นปกติราวกับว่าความเจ็บปวดที่ก่อนหน้านี้เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
พระอาทิตย์ที่อบอุ่นในฤดูหนาวยิ่งทำให้คนชื่นชอบอย่างมาก แต่อากาศดีเช่นนี้กลับถูกพายุฝนพัดกระหน่ำในช่วงค่ำคืน
บนเรือที่ประดับประดาอย่างสวยหรูได้ล่องลอยไปกลางทะเลสาบกู่เยว่อย่างโดดเดี่ยว ทะเลสาบกู่เยว่เป็นสถานที่มีทิวทัศน์ขึ้นชื่อที่สุดในแถวนี้ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน กลอนที่โด่งดังและไพเราะเช่นนี้ได้แต่งตั้งจากที่นี่มามากมาย
ในคืนนี้ฝนตกหนักแต่ก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆกับคนที่ร้องเพลงเต้นรำอยู่บนเรือ
นางรำสามคนที่ร่ายรำตามเสียงดนตรีทุกจังหวะที่เคลื่อนไหวทุกอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาอย่างส่งพลังเพราะแขกที่อยู่บนเรือ พวกนางไม่สามารถแตะต้องได้
บุรุษที่นั่งบนตำแหน่งประมุขใส่คลุมเสื้อขนสัตว์ สายตามองไปยังนางรำที่ใส่แค่ผ้าบางๆยกถ้วยสุราขึ้นมาดื่มเขาจึงโบกมืออย่างเกียจคร้าน“ออกไปได้แล้วนางพวกหน้าโฉม”
นางรำพวกนั้นตื่นตระหนกรีบหยุดร่ายรำและถอยหลังเดินออกไป กลัวจะทำให้ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ไม่เป็นสุข
“ท่านอ๋องคืนนี้ถึงเวลาที่พิษกำเริบแล้ว แม้นางพวกนั้นหน้าโฉมแต่อย่างไรก็ใช้มาถอนพิษได้”หลังจากรอกลุ่มคนออกไปหมด จินมู่ยืนอยู่ข้างกายบุรุษนั้นถึงจะเปิดปากพูดออกมา
โม่จื่อฟงเงียบไปชั่วขณะหนึ่งสายตาเยือกเย็น“ไม่ต้องให้เจ้ามาเตือนข้า!”
“ข้าน้อยไม่กล้าแต่…”จินมู่ยังอยากจะพูดอะไรแต่เห็นโม่จื่อฟงกลับลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก“ท่านอ๋องฝนยังตกอยู่ท่านจะไปไหน”
“ทำไมข้าจะไปไหนเจ้าอยากจะยุ่งด้วยรึ”โม่จื่อฟงหยุดฝีเท้าแต่ไม่ได้หันกลับมา ราศีในตาของเขาแผ่กระจายออกมาทำให้จินมู่ตกตะลึงจนหยุดเดินตาม
จินมู่คุกเข่าลงบนพื้นเงยหน้ามองโม่จื่อฟงที่เดินอยู่ขอบเรือฝนที่ตกทั่วฟ้าราวกับหยุดชะงักลงเมื่อจะโดนตัวของเขาเสื้อคลุมของเขาไม่โดนฝนสักหยด
ใครจะคิดได้ว่าบุรุษเหมือนเทพเจ้าในประเทศหนานเยียนมีวรยุทธ์เก่งกล้าและไม่มีใครมาเทียบได้กลับถูกวางยาพิษ
“จินมู่ยังมีโลหิตกิเลนอยู่หรือไม่”โม่จื่อฟงมองไปยังจินมู่ที่มีสีหน้าเจ็บปวด เขาขมวดคิ้วราวกับว่าเดาความคิดภายในใจของจินมู่ได้
จินมู่เรียกสติกลับมาเก็บสีหน้าที่เจ็บปวดเปลี่ยนเป็นใบหน้าเมินเฉย“ท่านอ๋องโลหิตกิเลนเป็นสิ่งพิษร้ายแรงแม้ว่าจะกดต้านพิษในกายของท่านได้ชั่วคราวแต่มันทำให้ปราณของท่านติดขัด ตอนนี้มีมือลอบสังหารมาอย่างต่อเนื่อง หากในตอนที่ท่านเกิดปราณติดขัดจะเป็นอันตรายอย่างมากอีกทั้งโลหิตกิเลนได้สะสมอยู่ในร่างกายมากขึ้นระยะเวลาของพิษกำเริบก็เร็วขึ้น…”
“จินมู่!”น้ำเสียงของโม่จื่อฟงที่เยือกเย็นมากขึ้น“เดี๋ยวนี้เจ้าบังอาจตัดสินใจเองมากเกิดแล้ว!”
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”จินมู่ไม่กล้าพูดมากรีบหยิบขวดแจกันกระเบื้องขนาดเล็กจากเสื้อตรงหน้าอกออกมา เขาส่งมาถึงตรงหน้าของโม่จื่อฟงราวกับได้ใช้ความกล้าทั้งหมดไปแล้ว
สายตาของโม่จื่อฟงเคร่งขรึมลงชั่วขณะแล้วยื่นมือไปรับขวดมา จากนั้นก็โดนขึ้นขอบเรือเสี่ยววินาทีต่อเขาก็ลอยบนพื้นผิวทะเลสาบร่วงหล่นลงไปไม่กี่หนเงาของเขาได้หายไปจากสายตาของจินมู่แล้ว
“ท่านอ๋อง…”จินมู่ที่ยืนอยู่บนเรือจ้องมองโม่จื่อฟงจากไป เขาไม่มีวรยุทธ์ที่เก่งกาจ ฉะนั้นฝนที่ตกลงมาบนตัวเขาไม่ทันไรก็เปียกโชกไปทั้งตัวเขากลับไม่ตระหนักถึงเพียงแต่มองไปในทิศทางที่โม่จื่อฟงหายไป
เขารู้ว่าดื่มโลหิตกิเลนแล้วปราณจะติดขัดชีพจรหมุนทวนกระแสกลับมาจะมีความรู้สึกเจ็บปวดและคันไปทั่วร่างคนธรรมดาไม่สามารถทนได้
เขาเคยเห็นนายท่านดื่มโลหิตกิเลนครั้งหนึ่งช่วงเวลานั้นเป็นตอนที่สองประเทศกำลังสู้รบกันอยู่ โม่จื่อฟงไม่มีทางหลบหนีไปได้ ฉะนั้นถึงได้กำเริบพิษต่อหน้าเขาสถานการณ์นั้นเขาไม่มีวันลืมเด็ดขาด
ในสมรภูมิรบนั้นเทพสงครามที่ทำให้ศัตรูเกรงกลัวอ๋องอู่เสวียนที่ทำให้ประเทศเล็กที่อยู่รอบๆต่างก็ยำเกรงบุรุษคนนั้นที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว ไม่ว่าจะสถานการณ์อย่างไรก็ไม่เคยหลบหนีกลับตะโกนร้องออกมาโดยความเจ็บปวดของพิษโลหิตกิเลน
เช่นนั้นเขาสามารถจินตนาการได้ว่าความเจ็บปวดนั้นเจ็บแค่ไหน
จินมู่อยากจะตามไปคุ้มครองความปลอดภัยของโม่จื่อฟง แต่จินมู่รู้ดีว่าบุรุษอย่างเขายอมตายก็ไม่ยอมให้ใครเห็นตอนที่เขาจนมุมที่สุด
เช่นนั้นจินมู่ทำได้เพียงแต่รอเขายืนอยู่บนหัวเรือไม่ได้เข้าไปหลบฝนในห้อง เขาอยากจะยืนอยู่เช่นนี้จนมองท่านอ๋องได้กลับมาเป็นอย่างปลอดภัย
ฝนยิ่งตกยิ่งหนัก เม็ดฝนที่กระทบบนพื้นผิวทะเลสาบเกิดเป็นระลอกคลื่นที่เคลื่อนเป็นเกลียว ใครจะไปรู้ว่าฝนจะตกอีกนานแค่ไหน