บทที่ 11 ตามแผน
ไม่มีการกล่าวถึงเต๋ออ๋องราวกับว่าเสนาบดีเมิ่งมีแผนการเกี่ยวดองกับสกุลต้วนอย่างแท้จริง
ซึ่งแม้ว่าผู้สำเร็จราชการต้วนจะมีวัยล่วงเลยถึงเจ็ดสิบปีและดำรงตำแหน่งเพียงในนามเท่านั้น ทว่าอำนาจมากล้นนับเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเสนาบดีเมิ่งในอดีต แต่หากสองสกุลเกี่ยวดองกันอำนาจของขุนนางทั้งสองยิ่งจะเพิ่มมากขึ้น เช่นนี้ฝ่าบาทก็หัวเดียวกระเทียมลีบแล้วเป็นแน่
“สมรสพระราชทานหรือ ท่านเสนาบดีคิดดีแล้วหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้กระหม่อมคิดว่าสกุลต้วนย่อมเห็นดีเห็นงามด้วย เราสองสกุลล้วนเป็นข้ารองบาทรับใช้ฝ่าบาทหากร่วมแรงร่วมใจทั้งยังเกี่ยวดองลึกซึ้งเป็นผลดีมากกว่าผลเสียพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาไตร่ตรองโดยละเอียด การที่เสนาบดีเมิ่งรักบุตรสาวมากก็เป็นจริงดังนั้น เมิ่งลี่เฟยรังแกฮูหยินใหญ่ในจวนผู้ใดก็รู้ เขาถือหางนางเช่นนั้นคงรักเมิ่งลี่เฟยยิ่งกว่าบุตรสาวคนรองเป็นแน่
ถึงเมิ่งลี่เฟยจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ทว่ากลับเป็นแก้วตาดวงใจของเสนาบดีเมิ่ง หมากตัวนี้ดูไปก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย แต่หากปล่อยให้สองสกุลเกี่ยวดองกัน อำนาจในราชสำนักนั้นไม่ต้องถามว่าต้องตกอยู่ที่สองสกุลใหญ่
ฝ่าบาทเล่าคราวนั้นจะทำเช่นใด ไม่ได้การแล้วไทเฮาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อขัดขวาง
ถึงเมิ่งลี่เฟยจะชื่อเสียงไม่ดี แต่หากว่ากันเรื่องความงามบุตรสาวของเสนาบดีเมิ่งผู้นี้นับว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองเต๋ออ๋องเองก็ชอบคนงามและยังทำเพื่อฝ่าบาทเต๋ออ๋องคงไม่ปฏิเสธ เมิ่งลี่เฟยเป็นหมากที่แม้จะเปื้อนฝุ่นไปบ้าง แต่หากนำมาขัดสีเสียใหม่ไทเฮาคิดว่าเป็นหมากที่ไม่เลวเช่นกัน
"ท่านเสนาบดีเมิ่งเหตุใดต้องมองไปที่สกุลต้วนด้วยเล่า ในเมื่อเต๋ออ๋องเดิมมีวาสนากับสกุลเมิ่งแล้ว เช่นนั้นให้เต๋ออ๋องดูแลนางดีหรือไม่ ข้าเคยพบนางคราหนึ่งใบหน้างดงามล่มเมือง กิริยานับว่าไม่เลวนิสัยเอาแต่ใจสตรีสูงศักดิ์ผู้ใดไม่เป็นบ้างเล่า หากจะมากไปหน่อยออกเรือนแล้วย่อมรู้ความ สมรสนี้มอบให้เต๋ออ๋องเห็นว่าจะเหมาะสมกว่า ท่านเสนาบดีเมิ่งคิดเห็นเป็นเช่นไร"
ในที่สุดไทเฮาก็ตกหลุมพรางของเมิ่งฟู่แล้ว เขาหรือจะเกี่ยวดองกับตาแก่ที่เขาชิงชังมานานผู้นั้น ทว่าความชิงชังนี้เขาได้แต่กดข่มเอาไว้ไม่เคยแสดงออกให้ผู้ใดล่วงรู้มาก่อน
ไทเฮาคงคิดว่าเขามีแผนการใหญ่เป็นแน่จึงได้ระแวงและยอมตกลงยื่นข้อเสนอด้วยตนเอง
ความจริงแล้วคนที่เขาหมายตาคือเต๋อลู่หาน บุรุษผู้นั้นมีทหารในกำมืออีกกึ่งหนึ่ง และยังมีป้ายอาญาสิทธิ์ควบคุมองครักษ์วังหลวง ด้วยเป็นน้องชายร่วมอุทรที่ฝ่าบาทวางพระทัยที่สุด
ถ้าหากเมิ่งลี่เฟยสามารถกุมหัวใจของเต๋ออ๋องได้ผลประโยชน์ล้วนตกอยู่ที่สกุลเมิ่ง
เมิ่งฟู่ไม่เคยคิดก่อการกบฎ เพียงแต่อำนาจในราชสำนักเขาละโมบที่จะเป็นผู้ที่อยู่สูงสุด แน่นอนว่าคนแรกที่เมิ่งฟู่คิดจะจัดการและรวบอำนาจก็คือฝั่งของผู้สำเร็จราชการต้วน
หากเต๋ออ๋องอยู่ข้างเขาเสียแล้ว ผู้สำเร็จราชการต้วนผู้นั้นจะทำเช่นใดกันเล่า
เมิ่งฟู่อารมณ์ดียิ่งเขาตอบรับไทเฮาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม หลังได้รับสมรสพระราชทานให้บุตรสาวคนโตจากไทเฮา
กระทั่งหนึ่งเดือนต่อมาสินสอดถูกส่งมาที่จวนมากมาย และยามนี้ก็เป็นเขาที่ขังเมิ่งลี่เฟยเอาไว้ในเรือนให้คนเฝ้านางอย่างดีไม่ให้ก่อเรื่องอีก
วันส่งตัวเจ้าสาวมาถึงแล้วบ่าวรีบรุดมาที่เรือนใหญ่ เมิ่งฟู่และฮูหยินใหญ่กำลังนั่งจิบชารอส่งตัวเจ้าสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกลับหน้าตึงขึ้นมาทันใด
"คุณหนูไม่ยอมสวมชุดเจ้าสาวเจ้าค่ะ"
เมิ่งฟู่ปาถ้วยน้ำชาทิ้งด้วยโทสะ ฮูหยินใหญ่ส่งเสียงอ่อนหวาน
"ท่านพี่ เรื่องนี้ฝืนใจเฟยเอ๋อร์ก็เป็นธรรมดาที่นางจะดื้อรั้น ประเดี๋ยวข้าไปเกลี้ยกล่อมนางหน่อย คงเบาลง ท่านใจเย็นรออยู่ที่นี่เถิด"
เมิ่งฟู่ถอนหายใจออกมา
"นางแผลงฤทธิ์เจ้าเองก็ระวังตัว อย่าให้นางรังแกเจ้าได้อีก นางไม่อาจไว้ใจได้ทั้งหมดเป็นข้าที่ตามใจนางจนเกินไป"
"ท่านพี่ เฟยเอ๋อร์ยังเด็กนักอย่าถือสานางเลยนะเจ้าคะ ท่านไม่ต้องห่วงข้ามีความรักให้นางประดุจบุตรสาวที่คลอดออกมา นางต้องเข้าใจข้าเป็นแน่"
"เฮ้ย ฮูหยินเจ้าเองก็ดีเช่นนี้ อ่อนแอเช่นนี้จะรับมือนางได้อย่างไร เอาเถิดข้าฝากเจ้าแล้วเรื่องนี้หากข้าเห็นนางในตอนนี้คงอดไม่ได้ที่จะลงแส้หวดนางสักที วันนี้เป็นวันมงคลแท้ ๆ แต่เจ้าดูนางสิ"
ฮูหยินใหญ่ลูบหลังมือของผู้เป็นสามี ก่อนจะหันหลังเดินตรงไปยังเรือนของเมิ่งลี่เฟย เมื่อก้าวเข้าไปในเรือนพบข้าวของกระจัดกระจาย กระทั่งชุดเจ้าสาวยังกองอยู่ที่พื้น นอกจากบ่าวเสี่ยวเหลียนแล้วไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เมิ่งลี่เฟยแม่แต่คนเดียว
สาวใช้ยืนจับกลุ่มที่มุมหนึ่งของห้องเมื่อเห็นฮูหยินใหญ่แล้วต่างรีบทำความเคารพ
"พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้าจะคุยกับบุตรสาวคนดีเสียหน่อย"
สาวใช้กรูกันออกไป ฮูหยินใหญ่สั่งให้บ่าวคนสนิทของตนเองปิดประตู
ฮูหยินใหญ่เดินช้า ๆ มาหาเมิ่งลี่เฟย ท่าทางอ่อนหวานเมื่อสักครู่เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างทันที
"เจ้ากับข้าคงไม่ต้องเอ่ยให้มากความแล้วกระมัง ใส่เสื้อผ้าเสียอย่าให้ข้าต้องลงมือ"
เมิ่งลี่เฟยหัวเราะ นางนั่งอยู่บนเก้าอี้มือขาวหยิบเครื่องประดับมาเล่นทีละชิ้นก่อนจะโยนทิ้งลงพื้นโดยไม่ไยดี ใบหน้างามล้ำค่อย ๆ เงยขึ้นเอ่ยทั้งรอยยิ้มพราว
"การแสดงของท่านนับวันยิ่งเก่งกาจ กระทั่งท่านพ่อยังเชื่อจนคล้ายคนตาบอดไปแล้ว"
ฮูหยินใหญ่ขยับเข้าใกล้แล้วโน้มตัวลงมากอดเมิ่งลี่เฟยจากด้านหลัง กระซิบเบา ๆ ที่ริมหู
"แล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายผู้ที่แสดงเก่งย่อมชนะมิใช่หรือ จวนนี้ทั้งจวนรวมทั้งพ่อของเจ้าล้วนเป็นคนของข้า หากเจ้ายังรั้งอยู่ต่อที่นี่ก็มีแต่ทรมานไม่ใช่หรือ ได้โอกาสออกไปแล้วไยไม่คว้าโอกาสเล่า จวนแห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเจ้า ออกไปหาที่ของตนเองเสียไม่ดีกว่าหรือ"
และในยามนั้นนั่นเองที่เมิ่งลี่เฟยรับรู้ว่าที่ลำคอของตนเองมีปิ่นแหลมจ่ออยู่ เมิ่งลี่เฟยหัวเราะในลำคอพร้อมกับเอ่ยขบขัน
"แทงลงมาเลยสิ ต้องการกำจัดข้ามิใช่หรือ ข้าเป็นหนามตำใจมิใช่หรือ ถึงจะบอกว่าท่านพ่อเป็นของท่านแต่สตรีในใจท่านพอแท้จริงคือแม่ข้า คนที่ท่านเกลียดชังที่สุดมิใช่หรือข้าจะบอกท่านให้ว่าต่อให้ข้าตายไปอย่างไรท่านพ่อก็ยังรักแม่ของข้าไม่มีวันลืม ต่อให้ท่านพ่อดีต่อท่านเพียงใดคนที่อยู่ในใจเขาก็คือท่านแม่คนเดียว"
ฮูหยินใหญ่คล้ายจะสะอึก ฮูหยินใหญ่ผ่อนลมหายใจยาวออกมา นางเดินอ้อมเก้าอี้มาหยุดอยู่ตรงหน้าเมิ่งลี่เฟย ใบหน้านั้นแดงก่ำ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะฟาดมือลงบนแก้มหญิงสาวอย่างแรง
แรงตบนั้นมีไม่น้อยด้วยโทสะที่ไม่อาจควบคุม เกิดรอยฝ่ามือขึ้นที่ใบหน้าของคนที่กำลังจะกลายเป็นเจ้าสาว
เมิ่งลี่เฟยร่างสั่นระริก มือยกขึ้นกุมที่แก้มที่ยังชาของตนเอง
"เจ้าคิดลองดีกับข้าก็สมควรแล้ว แต่งตัวเสียอย่าให้พ่อเจ้าต้องมาลงแส้ด้วยตัวเอง อย่าให้สกุลเมิ่งต้องอับอายมากไปกว่านี้ ไม่รู้หรือว่าหากเจ้าหนีสมรสพระราชทาน สกุลเมิ่งจะถูกกล่าวหาอย่างไร ผู้ใดจะเดือนร้อน เจ้าไม่รู้หรือว่าเรื่องนี้ทำให้ ฝ่าบาทหาเรื่องสกุลเมิ่งจนนำไปสู่การลบหลู่เบื้องสูง มีโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร สมใจเจ้าแล้ว ข้าต้องตาย เจ้าต้องตายพ่อเจ้าต้องตาย ยังมีสาวใช้ที่เจ้าคิดเป็นน้องสาวผู้นั้นก็ต้องตายอีก เอาสิ ให้ทุกคนตายไปให้หมดจะได้สะใจเจ้าใช่หรือไม่"
ฮูหยินใหญ่เองก็รู้สึกชาที่มือ เมื่อก่อนตอนที่เมิ่งลี่เฟยยังเด็กฮูหยินใหญ่เคยลงมือมานับครั้งไม่ถ้วน
เมิ่งลี่เฟยไม่ยอมคนกระโดดเข้าสู้สุดชีวิต ทว่าในยามนั้นยังเป็นเด็กไม่อาจสู้แรงผู้ใหญ่ได้คนที่เจ็บตัวก็คือนาง
เมื่อฮูหยินใหญ่ไปแล้วเมิ่งลี่เฟยเองก็จะอาละวาดในเรือนด้วยความคับแค้นใจ
เมื่อท่านพ่อกลับมาพบนางวิ่งไปฟ้อง ฮูหยินใหญ่มักจะเล่าความเท็จด้วยนำตาว่านางร้ายกาจเพียงใด ในยามนั้นนางเป็นเพียงแค่เด็กผู้หนึ่ง ไม่อาจแก้ต่างความผิดให้ตนเองได้และสุดท้ายมักจะถูกท่านพ่อจับขังเอาไว้ในเรือนหรือหากท่านพ่อโกรธมากก็มักจะลงหวายทำโทษนางด้วยตนเอง
หลังจากนางเติบโตขึ้นนางก็หลีกเลี่ยงการปะทะกับฮูหยินใหญ่ ทว่านางยังคงเป็นคุณหนูปีศาจของสกุลเมิ่งเช่นเดิม
เมิ่งลี่เฟยลุกขึ้นจากเก้าอี้ได้ยินเสียงของฮูหยินใหญ่เรียกคนให้มาช่วยนางแต่งตัวด้วยคิดว่าถูกตบไปหนึ่งครั้งเมิ่งลี่เฟยคงยอมแล้วกระมัง
เมิ่งลี่เฟยกลับก้าวขาเร็วเพียงสองสามก้าวก็ถึงร่างของฮูหยินใหญ่แล้ว นางดึงมวยผมที่เกล้าสูงนั่นแล้วกระชากอย่างแรง
ฮูหยินใหญ่กรีดร้องด้วยตกใจและเจ็บหนังศีรษะ ยังไม่ทันตั้งตัวฝามือเล็กของเมิ่งลี่เฟยก็ฟาดเข้าที่ใบหน้าแล้ว
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อบ่าวไพร่เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเมิ่งลี่เฟย กำลังนั่งทับร่างฮูหยินใหญ่อยู่ ฝ่ามือเล็กนั่นตบลงที่ใบหน้าของฮูหยินใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน
"ได้ ข้าจะแต่งแต่ก่อนที่ข้าจะออกจากจวน ขอตบเจ้าให้สะใจสักครั้ง ตบนี้แก้แค้นให้ตัวข้าเองในวัยเยาว์ที่ไม่อาจสู้เจ้าได้ มาสิสู้ข้าคืนสิ ไม่มีปัญญาเหรอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
เมิ่งลี่เฟยคุ้มคลั่งไปแล้ว กระทั่งคนที่วิ่งมาแยกนางออกจากร่างของฮูหยินใหญ่ที่บอบช้ำก็คือเมิ่งฟู่ แต่เพราะฤกษ์ยามใกล้เข้ามาทุกขณะ เขาเองก็ไม่อาจลงโทษเมิ่งลี่เฟยได้จึงได้แต่ให้คนแบกร่างไร้เรี่ยวแรงของฮูหยินใหญ่กลับเรือน และรีบให้คนแต่งตัวให้เมิ่งลี่เฟยอย่างเร่งด่วน
เรื่องนี้ล่วงรู้ถึงหูของเต๋อลูหานอย่างรวดเร็ว
"นางไม่ยอมแต่งถึงขั้นตบตีแม่เลี้ยงของตนเองเพราะไม่พอใจหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
มุมปากของชายหนุ่มยกโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นออกมา
"ช่างเป็นนางปีศาจอย่างแท้จริง!"