ตอนที่ 6 ปรับเปลี่ยนแผน
มู่เซียงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สบเข้ากับแววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของคุณหนูแล้ว ใบหน้าของนางก็หน้าแดงร้อน
แววตาไป๋หลี่เซวียนเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เอื้อมมือขึ้นมากุมมือของมู่เซียงเอาไว้
ยามนี้นางวัยเพียงแค่สิบสาม อ่อนแอเป็นอย่างมาก ชาติที่แล้วนางมิค่อยได้สนใจไยดีมู่เซียง
ซ้ำยังคอยตำหนิบ้างบางเวลา หากใครจะรู้ว่า ในยามที่นางกำลังจะสิ้นใจ นางกลับได้ยินมู่เซียงคว้ามีดพุ่งเข้าหาหญิงชั่วนั่น ยังตะโกนเสียงดัง ให้พวกมันไปตายเสียเถิด--
ส่วนผลลัพธ์ไม่ต้องคาดเดาก็ชัดเจนอยู่แล้ว มู่เซียงที่น่าสงสาร จะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร!
ไป๋หลี่เซวียนพูดอธิบายกับมู่เซียงไปพลาง มือก็ไม่หยุดพัก พอกล่าวจบ มู่เซียงไม่แม้แต่จะถามกระไร รีบหมุนตัวไปเปิดหีบเสื้อผ้า หยิบชุดกระโปรงยาวสีเขียวมรกตของไป๋หลี่เซวียนขึ้นมา
เปลี่ยนชุดแล้ว ก็รวบผมทรงที่ไป๋หลีทำเป็นประจำค่อยหมุนตัวหนึ่ง
“คุณหนูเจ้าคะ เหมือนท่านบ้างหรือไม่เจ้าคะ?"
“พอใช้ได้ แต่เจ้าเรี่ยวแรงน้อยเกินไป ให้เจ้าทำ ข้าไม่สบายใจ ดังนั้นเจ้าแค่ปลอมเป็นข้าแล้วยืน หันหลังตรงนั้นก็พอแล้ว มิต้องกังวลใจ ทุกอย่างมีข้าอยู่เสมอ เข้าใจหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ”
มู่เซียงผงกศีรษะอย่างหนักแน่น มีแววตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยในดวงตา นางติดตามคุณหนูมาเนิ่นนาน นี่นับเป็นครั้งแรก ที่คุณหนูต้องการตอบโต้เอาคืนบ้าง นางชอบคุณหนูที่เป็นเช่นนี้ยิ่งนัก
ทั้งสองตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว ก็อาศัยจังหวะนี้ที่ทุกคนกำลังพักผ่อนใช้เส้นทางที่ค่อนข้างลับตาผู้คน
มุ่งไปยังศาลาจันทรา
ถึงเร็วกว่ากำหนดราวหนึ่งเค่อ (สิบห้านาที) ดังนั้นเฉินชิงหยางจึงยังมาไม่ถึง
ไป๋หลี่เซวียนให้มู่เซียงไปยืนในตำแหน่งที่เหมาะสม ส่วนตนเองหลบอยู่หลังกอไผ่ไม่ไกลนัก
ทั้ง ๆ ที่มู่เซียงตื่นเต้นหวาดกังวลเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังสามารถรักษาความสุขุม ยกมือสั่นเทาขึ้นผูกผ้าปิดหน้า ไป๋หลี่เซวียนหันมายิ้มให้นาง พอมู่เซียงมองเข้าไปในแววตาของคุณหนู ก็ถึงกับรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาวูบหนึ่ง
วันนี้ จะต้องสั่งสอนให้พวกนางรู้ก่อนว่า อะไรคือความหมายของสำนวน-- ตั้กแตนไล่จับจักจั่น นกขมิ้นคอยอยู่ที่ด้านหลัง
ซูหลีถือไม้พลองหนาหนักไว้ในมือ คอยไม่นาน ก็เห็นเฉินชิงหยางมองซ้ายมองขวา
เฉินชิงหยางปีนี้อายุสิบเจ็ดปี ภายนอกดูคมคาย มีภูมิฐาน ทว่าตั้งแต่วัยสิบสี่ที่เขาได้เริ่มลิ้มลองสัมผัสสตรี ก็เจ้าชู้เสเพลเรื่อยมาสามปีแล้ว ฝีเท้าไม่มั่นคง ขอบตาดำคล้ำ พอมองเห็นร่างบอบบางข้างลำธารแล้ว ในใจเฉินชิงหยางก็เบิกบานยิ่งนัก
นั่นมันคุณหนูสายหลวงของจวนเสนาบดี พระคู่หมั้นของจิ้งอ๋องเชียวนะ
“ญาติผู้น้อง...”
เฉินชิงหยางพุ่งเข้าหาเงาหลังของมู่เซียงอย่างรีบร้อนราวลิงกัง พอคว้ามู่เซียงมาไว้ในอ้อมแขนได้แล้ว ก็ก้มศีรษะลงกำลังจะจุมพิตซอกคอของนาง
มู่เซียงสีหน้าซีดขาว กอดตัวเองไว้แน่น ทว่ายังทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ขยับขัดขืน
โป๊ก--
เห็นเฉินชิงหยางที่อยู่เหนือร่างมู่เซียงค่อยๆตัวอ่อนล้มพับลงราวกับลูกพลับเละแล้ว
ไป๋หลี่เซวียนแววตาส่อประกายเย็นชาเด็ดเดี่ยว เอื้อมมือขึ้นคว้าไหล่เขาขึ้นมา ร่วมกับมู่เซียง ทั้งสองคนช่วยกันลากร่างอ่อนระทวยราวซากศพของเขาไปซ่อนหลังกอไผ่
“คุณหนูเจ้าคะ --"
มู่เซียงมองคุณหนูของนางที่พลันมีเรี่ยวแรงมหาศาลขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ รู้สึกตื้นตันจนหยาดน้ำตาอุ่น ๆ เอ่อคลอเบ้าตา หลายวันมานี้ คุณหนูราวกับตุ๊กตาที่ไร้จิตวิญญาณ ให้นางรู้สึกกังวลใจยิ่งนัก
จนนึกว่าคุณหนูจะไม่อาจมีชีวิตต่อได้อีกแล้ว
“เจ้ากลับไปเถิด เอาอาหารบูด ผักเน่าพวกนั้นมากองไว้บนโต๊ะ หลังจากนั้นค่อยไปเปลี่ยนชุดกลับเป็นเจ้าคนเดิม แล้วมาทำให้ข้าวของในเรือนกระจัดกระจายยิ่งเละเทะได้เท่าไรยิ่งดี”
“เจ้าค่ะ--คุณหนู ท่านต้องระวังให้ดีนะเจ้าคะ”
มู่เซียงก้มตัวลงอย่างระมัดระวัง หมุนตัวแล้วรีบวิ่งออกไป
ไป๋หลี่เซวียนหมุนตัว กลับไปอยู่ด้านหลังกอไผ่ ล้วงเอาปิ่นปักผมในอกเสื้อเฉินชิงหยางออกมา นางจำได้ว่า เฉินชิงหยางกล่าวว่า ปิ่นปักผมของท่านยายเฒ่าอาวุโสนี้ มีตำหนิขึ้นมาแล้ว นี่ทำให้ท่านยายเฒ่าอาวุโสเสียใจอยู่นาน
ทุกคนประจักษ์ดีว่า ท่านยายเฒ่าอาวุโสและท่านผู้เฒ่าอาวุโสรักกันลึกซึ้งยั่งยืน ดังนั้นทะนุถนอมหวงแหนของหมั้นหมายชิ้นนี้มาก ทว่าผู้คนกลับไม่รู้ว่า ท่านผู้เฒ่าอาวุโสสั่งเสียไว้ก่อนจากไปว่า วันใดที่ปิ่นนี้หักลง วันนั้นก็ให้ย่าเฒ่าวางอำนาจทั้งหมดลง
นางจึงออกแรงบิดตรงตำแหน่งที่มีรอยร้าวนั้น ให้ร้าวชัดมากขึ้นเสียหน่อย ค่อยสอดคืนในอกเสื้อของเฉินชิงหยาง
พอกลับมาอยู่ในศาลา นางก็ล่วงเอาปิ่นอีกอันในอกเสื้อนางที่ดูเหมือนกับ นนั้นราวเป็นอันเดียวกันขึ้นมา แววเย็นชาฉายวาบที่แก้วตา ราวสามารถแช่แข็งทั้งเรือนให้เย็นยะเยือก
ปิ่นเล่มนี้ เป็นนางทำขึ้นมาเองกับมือ อีกไม่นาน ย่อมมีวิธีใช้ที่แยบยล
ชาตินี้นางจะไม่เป็นคนใจอ่อนเหลาะแหละอีกแล้ว
ชาติที่แล้ว ท่านยายเฒ่าอาวุโสส่งคนมาตบนางยี่สิบฉาด เกือบทำให้นางต้องเสียโฉม เช่นนั้น ชาตินี้ นางจะทำให้สกุลเฉินค่อย ๆ ก้าวลงติดกับนางทีละก้าว จนมิอาจถอนตัวหลุดพ้นได้
นางต้องจัดการเด็ดเหล่าสมุนมือซ้ายขวาของไป๋ลู่อิงทิ้งไปซะ จากนั้นค่อย..
มีเสียงฝีเท้าที่ฟังดูเร่งรีบดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ ราวกับกลัวว่า หากเดินช้าไป จะพลาดอะไรเข้า แววตาเย็นชาของไป๋หลี่เซวียนปรายขึ้นมองเล็กน้อย แล้วนั่งอย่างสงบนิ่งบนม้านั่งหิน ดูเรียบร้อยว่าง่าย
ไป๋ฮูหยิน และไป๋ลู่อิงเดินนำน้องสาวสายรองผู้เป็นบุตรีของอนุไป๋หลิวยิน น้องสาวบุตรีของอารองไป๋จึงสือ น้องสาวบุตรีของอาสามไป๋เสวี่ยเจี้ยนเดินมุ่งมาที่ศาลาจันทราอย่างตื่นเต้นอย่างมิอาจทนรอ
ไป๋หลี่เซวียนมองเห็นรอยยิ้มสะใจบนใบหน้าของไป๋ฮูหยินและไป๋ลู่อิงได้อย่างชัดเจน ยามที่พวกนางทั้งสองหันมาสบตากัน
ไป๋หลี่เซวียนหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามสกัดกั้นความเกลียดชังที่ทะลักทลายขึ้นมา จากก้นบึงหัวใจอย่างสุดชีวิต
....