บทที่ 15 นี่เป็นการเปลี่ยนนิสัยหรือ?
เมื่อพระชายารองเสิ่นได้ยินก็ส่งสายตาบอกใบ้ให้ซิ่วยู่เอาเตาน้ำชา กาน้ำชา และชุดน้ำชาที่จัดเตรียมไว้ในศาลามาวางข้างหน้าทั้งสองคน จากนั้นก็เทน้ำชาร้อนๆ ลงในถ้วยชา
“ชานี้คือชาหลงจิ่งจากทะเลสาบซีหู กุ้ยเฟยส่งออกมาจากในวัง มีเพียงสองตำลึงเท่านั้น หายากมาก จึงอยากเชิญท่านพี่มาลิ้มรสด้วยกันเพคะ”
“ชาหลงจิ่งเป็นชาชั้นดี กลิ่นหอมยาวนาน กลิ่นหอมกรุ่นคล้ายดอกกล้วยไม้ น้ำชาเป็นสีเขียวมรกต สว่างใส ใบชาเป็นสีเขียวอ่อน สม่ำเสมอกันเป็นช่อ ยอดอ่อนตั้งตรง เหมือนมีชีวิต ทำให้คนซาบซึ้งกินใจ กลิ่นหอมติดปาก และติดใจรสชาติ” พระชายารองเสิ่นอธิบายด้วยรอยยิ้ม
พูดอธิบายละเอียดขนาดนี้ คุณคิดว่านางเป็นคนบ้านนอกหรือ? ถึงได้ไม่เข้าใจอะไรเลย?
มู่จิ่งซีแอบหัวเราะในใจ ในความทรงจำมู่จิ่งซีไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ
นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หลังจากดูขั้นตอนการชงชาของซิ่วยู่ นางก็พูดด้วยรอยยิ้ม “การชงชาที่ดีที่สุดควรชงเพียงแค่สี่ครั้ง: ครั้งที่หนึ่งเป็นผิว ครั้งที่สองสามเป็นเนื้อ และครั้งที่สี่เป็นส่วนยอด หลังจากชงสี่ครั้ง โดยทั่วไปน้ำชาจะเปลี่ยนเป็นจางลง ควรเพิ่มเวลาในการแช่ชาสี่ครั้งตามลำดับ สูตรสี่ตัวอักษรสำหรับการชงชา: ต่ำ เร็ว สม่ำเสมอ หมด”
“อย่าชงชาด้วยอุณหภูมิสูง มิเช่นนั้นกลิ่นจะหายไป ฟองจะลอยไปทั่ว เป็นการไม่เคารพแขก; เร็ว เพื่อไม่ให้กลิ่นหอมหายไปง่ายๆ และรักษาความร้อนของน้ำชาไว้ได้; สม่ำเสมอ ปฏิบัติต่อแขกอย่างเท่าเทียมกัน; หมด ดื่มน้ำชาให้หมด อย่าแช่ใบชานานเกินไป น้ำชาต้องไม่ขม”
มือที่รินน้ำชาของซิ่วยู่หยุดชะงัก ตอนที่มู่จิ่งซีพูดว่าเป็นการไม่เคารพแขก น้ำชานั้นมีฟองเป็นชั้นจริงๆ นางตกใจและมองไปที่พระชายารองเสิ่น
พระชายารองเสิ่นแอบส่งสายตาให้ซิ่วยู่ว่าอย่าหุนหันพลันแล่น จากนั้นก็มองไปที่มู่จิ่งซีด้วยรอยยิ้ม “นึกไม่ถึงเลยว่าท่านพี่จะมีพิธีชงชาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะตาไม่ถึง ต่อไปจะชงชาตามคำแนะนำของท่านพี่อย่างแน่นอนเพคะ”
นึกไม่ถึงเลยว่ามู่จิ่งซีจะเข้าใจมากขนาดนี้ หรือแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าความใส่ใจในการชงชา และมีบางอย่างที่นางก็ไม่รู้
ในใจของพระชายารองเสิ่นแปรปรวน
มู่จิ่งซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆ หยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วเป่าชา เมื่ออุณหภูมิพอดีที่จะดื่มได้ นางก็จิบแล้วพยักหน้า “เป็นชาดีจริงๆ! สีชาสะอาดสดชื่น กลิ่นหอมติดปาก เป็นชาหลงจิ่งชั้นดีจริงๆ!”
พระชายารองเสิ่นก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วจิบด้วยรอยยิ้ม
“ข้าต้องขอบคุณน้องหญิงด้วย หากไม่ใช่เพราะน้องหญิง วันนี้คงไม่ได้ลิ้มรสชาหลงจิ่งที่ดีขนาดนี้!” มู่จิ่งซีมองเข้าไปในดวงตาอันสงบนิ่งของพระชายารองเสิ่นและพูดอย่างสุภาพ
“ท่านพี่ ใช่ที่ไหนกันเล่าเพคะ! ท่านกับข้ามาสามีร่วมกัน สนิทสนมกันเหมือนพี่สาวน้องสาว แน่นอนว่าต้องแบ่งปันสิ่งของเหล่านี้กับท่านพี่” พระชายารองเสิ่นตอบด้วยรอยยิ้มทันที
มู่จิ่งซีในวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก
แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทุกที่เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ต้องการรู้อะไรบางอย่าง แต่ไม่มีทางที่จะรู้ หรือแม้แต่ไม่มีทางที่จะทำได้ ทำให้นางแอบขมวดคิ้ว
สำหรับเจตนาที่ฉู่เทียนฉือที่ไปที่เรือนดอกเหมยเมื่อคืน นางก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันตลอดทั้งบ่าย
หน้าตาดูเหมือนว่าได้เจอกันช้าไป และพี่สาวน้องสาวเรียกกันอย่างสนิทสนมมาก คนที่ไม่รู้คงคิดว่าทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน
บางครั้งคำพูดหยอกล้อเพียงไม่กี่คำก็ทำให้ซิ่วยู่และหงหลิงหัวเราะไม่หยุด
โดยรอบมีเหล่าสาวใช้เดินผ่านไปมาอยู่ตลอด และต่างงุนงงเมื่อเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ในศาลาชมจันทร์
ความสัมพันธ์ของพระชายากับพระชายารองเสิ่นดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด? หรือว่าพระชายาจะเปลี่ยนนิสัย และไม่เป็นศัตรูกับพระชายารองเสิ่นแล้ว?
สักพักในจวนอ๋องก็มีการวิพากษ์วิจารณ์อีกระลอกหนึ่ง และข่าวที่เมื่อคืนฉู่เทียนฉือไปที่เรือนดอกเหมยไม่ถึงสิบห้านาทีแล้วจากไปก็ถูกระงับ
ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว มีสาวใช้คนหนึ่งมารายงานที่ศาลาชมจันทร์ว่าฉู่เทียนฉือมาแล้ว อาหารเย็นก็พร้อมแล้ว และรอให้พระชายารองเสิ่นไป
มู่จิ่งซีไม่อยากรบกวนเรื่องดีๆ ของผู้อื่น จึงรีบลุกขึ้นกล่าวลา “ข้ายังมีเรื่องในจวนต้องจัดการ น้องหญิงไปปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องเสวยอาหารเย็นเถิด”
พระชายารองเสิ่นออกปากให้อยู่ต่อ แต่มู่จิ่งซีส่ายหัวปฏิเสธ
ไปมาหาสู่กัน พระชายารองเสิ่นก็ไม่ได้บังคับ และปล่อยให้มู่จิ่งซีจากไป
มองตามหลังมู่จิ่งซีที่จากไปอย่างแน่วแน่ ความงุนงงที่หว่างคิ้วของพระชายารองเสิ่นลึกมากยิ่งขึ้น
“พระชายากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่? หากเป็นแต่ก่อน ขอแค่เป็นที่ที่ท่านอ๋องปรากฏตัว นางจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้อย่างแน่นอน ตอนนี้พระชายารองเชิญให้นางอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันกับท่านอ๋อง นึกไม่ถึงเลยว่าพระชายาจะปฏิเสธ” ซิ่วยู่พูดด้วยความงุนงงอย่างมาก
พระชายารองเสิ่นเงียบ และระยะห่างระหว่างคิ้วก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ระหว่างทางกลับเรือนดอกเหมย หงหลิงถามว่า “เหตุใดพระชายาไม่วางแผนที่จะอยู่เสวยอาหารเย็นที่เรือนไผ่เล่าเพคะ? ท่านอ๋องก็อยู่ด้วยพอดี”
เมื่อครู่ตอนที่พระชายาปฏิเสธ นางก็เกิดความสงสัย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก
“ข้าจะไปทำลายเรื่องดีๆ ของผู้อื่นได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งสองคนไม่อยากเห็นเจ้าข้า ทำไมข้าจะต้องลำบากไปยั่วยุผู้อื่นให้ไม่ชอบ แล้วทำให้พวกเขากินทานอาหารไม่อร่อยด้วย” มู่จิ่งซีพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
ในช่วงบ่ายอยู่ด้วยกันกับพระชายารองเสิ่น มู่จิ่งซีตระหนักว่าแม้ว่าพระชายารองเสิ่นจะอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปี แต่ความคิดเป็นผู้ใหญ่ มีไหวพริบอย่างมาก เป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้ง และไม่แสดงสีหน้าดีใจหรือโกรธ
มิน่าเล่านางถึงสามารถใช้สถานะพระชายาควบคุมอำนาจได้ และยังได้ครอบครองความโปรดปรานของฉู่เทียนฉือ ไม่ให้อนุภรรยาทั้งสี่ได้กระทำการใดๆ
คนเช่นนี้ดูเหมือนอ่อนโยนและเข้ากับคนได้ง่าย แต่ความจริงแล้ว เป็นคนที่ระแวดระวังศัตรู
อยู่ในจวนหนานหยาง หากนางคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง ไม่ยอมให้ตนเองหรือคนที่ห่วงใยได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็ต้องเอาทุกอย่างที่เป็นของนางกลับคืนมา
แต่ฉู่เทียนฉือกับพระชายารองเสิ่นมีใจประสานตรงกัน จึงไม่ง่ายเลยที่จะแย่งชิงอำนาจนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางไม่ได้วางแผนจะอยู่ในจวนอ๋องระยะยาว
ด้วยสถานะเช่นนั้น และไม่มีอำนาจใดๆ ในท้ายที่สุดก็คงไม่ดีนัก!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปนางต้องคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม หาโอกาสที่จะหาหนทางอื่นให้กับตนเอง
แต่ในสังคมศักดินา สตรีโดยทั่วไปสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาบุรุษเท่านั้น แล้วโอกาสเช่นนี้จะมีหรือ?
นางขมวดคิ้วที่เรียวดั่งใบหลิวแน่น
หลังจากที่พวกนางไปจากเรือนไผ่ พระชายารองเสิ่นก็กลับไปที่ห้อง
เมื่อเห็นฉู่เทียนฉือที่นั่งรอทานอาหารด้วยกันกับนางอยู่ข้างนอก ความสับสนบนใบหน้าก็หายไปทันที และคิ้วที่ขมวดคิ้วก็คลายออกเช่นกัน รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าอันงดงามยังคงเหมือนเดิม
ท่านแม่เคยบอกว่าบุรุษงานยุ่งอยู่ข้างนอกทั้งวัน หลังจากกลับมาบ้านสิ่งที่อยากเห็นคือความอ่อนโยนของสตรี ไม่ใช่การวางอำนาจบาตรใหญ่
นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ท่านอ๋องไม่ชอบมู่จิ่งซีมาแต่ไหนแต่ไร
แต่……
เหม่อลอยเล็กน้อย
ทันใดนั้นซิ่วยู่ที่อยู่ข้างหลังก็เรียกนางเบาๆ นางจึงรู้สึกตัว
“ท่านอ๋องทรงพระเจริญเพคะ” พระชายารองเสิ่นกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน
ดวงตาอันดำขลับที่มองไม่เห็นก้นบึ้งของฉู่เทียนฉือกะพริบอยู่ครู่หนึ่ง เขากวาดสายตามองไปทางประตูเหมือนมีอะไรขาดหายไป จากนั้นก็พยักหน้า “ทานอาหารเย็นกันเถอะ”
หลังจากนั่งลง พระชายารองเสิ่นก็ทานอาหารหนึ่งคำอย่างสง่างาม จากนั้นก็พูดกับฉู่เทียนฉือด้วยรอยยิ้ม “บ่ายวันนี้ หม่อมฉันเชิญท่านพี่มาดื่มชาและพูดคุยกันตลอดทั้งบ่ายเพคะ”
“เมื่อครู่ยังอยากให้ท่านพี่อยู่ทานอาหารเย็นด้วย แต่นางบอกว่ามีเรื่องต้องทำ แล้วก็จากไป ดูเหมือนว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป นิสัยของท่านพี่จะเปลี่ยนไปมาก”
“อืม” ฉู่ทียนฉือพยักหน้า ท่าทางของเขายังคงเย็นชาเหมือนเดิม
พระชายารองเสิ่นก้มหน้าลง เคี้ยวอาหารอย่างระมัดระวัง และมุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย
หลังจากนั้นสักพัก ฉู่เทียนฉือทานอาหารเย็นเสร็จแล้วก็ลุกขึ้น ดูเหมือนว่ากำลังจะจากไป
พระชายารองเสิ่นเป็นกังวล “ท่านอ๋องจะไปหาท่านพี่หรือเพคะ?”