บท
ตั้งค่า

สำรอง ที่ 6 รักแรกของกันและกัน

สำรอง ที่ 6

รักแรกของกันและกัน

ข้าพบแล้ว...

“นี่คือสิ่งที่ข้าอยากทำมาตลอด...”

ดวงตากลมโตกะพริบถี่ด้วยความเขินอาย เมื่อแม่ทัพซุนจับฝ่ามือของนางให้ประคองใบหน้าของเขาเอาไว้อย่างออดอ้อน ฟางเหมยอยากจะหยุดเวลาเอาไว้เพียงตรงนี้ หยุดอยู่ตรงที่เขาและนางมีเพียงแค่กันและกันตลอดไป

แต่นางรู้ดีว่าความจริงจะปรากฏ...

นางเป็นเพียงแค่ ‘ตัวสำรอง’ ไม่มีทางได้เป็นตัวจริง ไม่มีทางได้ครอบครองหัวใจของชายผู้นี้

“น้องหญิงรู้หรือไม่ กว่าสองปีที่เราติดต่อพูดคุยผ่านทางจดหมาย เจ้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาหัวใจและทำให้ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”

แม้ว่าการกระทำส่วนใหญ่จะมาจากการแสดง แสร้งป่วย แสร้งตาบอด แสร้งขาพิการ ทว่าคำพูดเมื่อสักครู่กลับเป็นความจริงที่เรื่อเรืองอยู่ในหัวใจ

ความทรงจำในวัยเยาว์ฉายชัดเข้ามาในห้วงแห่งความทรงจำราวกับสายน้ำที่ไหลซึมจากผืนทรายสู่ก้นบึ้งลุ่มลึก

เขาผู้ปวารณาตนว่าจะไม่มีทางแต่งงานทางการเมืองเหมือนญาติพี่น้องคนอื่นๆ เป็นอันขาด จะไม่แต่งงานเพราะใครต่อใครเห็นว่าเหมาะสมกัน จะไม่แต่งงานเพราะเส้นสายของตระกูลชายา แต่เขาจะแต่งงานด้วยความรักเฉกเช่นที่ท่านพ่อของเขาแต่งงานกับท่านแม่ที่เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา

ท่านทั้งสองรักกันอย่างจริงใจ แม้หลังแต่งงานจะถูกกดดันดูถูกต่างๆ นานาก็ไม่หวั่นเกรง ตราบจนลมหายใจสุดท้ายทั้งสองก็ยังจับจูงกันขึ้นสวรรค์พร้อมกัน

แม้จะเหงาที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลังเพียงลำพัง แต่เขาก็ไม่เคยโกรธบิดามารดาเลยสักครั้ง

‘อาเฟิงเจ้ายังเด็กนัก ความรักของหนุ่มสาวมันไม่จีรังหรอกนะ มันเป็นเพียงความสุขชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่อำนาจและบารมีต่างหากที่จะอยู่กับเจ้าไปจนลมหายใจสุดท้าย’

‘กระหม่อมจะทำให้ไทเฮาเห็นว่าความรักต่างหากที่จะอยู่กับเราและติดตัวเราเมื่อตายไปแล้ว’

‘งั้นหรือเด็กโง่’

ไทเฮาผู้มีผมขาวโพลนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของศีรษะหัวเราะราวกับเห็นเป็นเรื่องเพ้อฝันของเด็กชายตัวน้อยที่ยังไม่ประสีประสา ยังไม่เข้าใจว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันโหดร้ายเพียงใด ยังไม่เข้าใจว่ายิ่งเราโตขึ้นเราก็จะถูกความโลภ ความเกลียดชัง ความริษยาพยาบาทกลืนกินจนสูญเสียความสดใสในวัยเยาว์ไปจนหมดสิ้น

‘อย่างน้อยๆ ความรักของกระหม่อมที่มีต่อเสด็จพ่อเสด็จแม่ก็เป็นสิ่งจีรังพ่ะย่ะค่ะ และความรักของกระหม่อมได้ตามติดไปกับดวงวิญญาณของท่านทั้งสองสู่ปรโลกอย่างแน่นอน’

เด็กชายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่คลอนแคลน

‘นั่นสินะ ยังมีความรักเช่นนั้นอยู่’

นี่อาจเป็นเหตุผลที่ไทเฮารักและเอ็นดูเด็กชายตัวน้อยที่อาภัพสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่ยังเล็กก็เป็นได้ เพราะความเฉลียวฉลาดและการมองโลกที่สวยงามแม้จะเติบโตมาอย่างบอบช้ำท่ามกลางความอิจฉาริษยาการกลั่นแกล้งต่างๆ ในวังหลวงก็ตาม

“ถ้ากระหม่อมโตขึ้น กระหม่อมจะหาชายาด้วยตนเอง องค์ไทเฮาได้โปรดให้โอกาสกระหม่อมตามหารักแท้ด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

อ๋องสิบเอ็ดตัวน้อยยอบกายลงคุกเข่า ก่อนจะโค้งคำนับจนศีรษะจดพื้น

‘แก่แดดเสียจริงเจ้าเด็กคนนี้ มาพูดเรื่องแต่งงานตั้งแต่ตัวสูงแค่หน้าแข้งเสียได้...’

ส่ายหน้าแต่ก็หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู กระนั้นในแววตาก็เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย หากสิ้นนางไปเสียสักคน เด็กชายตัวน้อยคงมีชีวิตอย่างยากลำบาก คงมีแต่ฝูงแร้งฝูงกาที่จะจิกกินผลประโยชน์จากเด็กคนนี้

‘ข้าจะให้โอกาสเจ้าหาคู่ครองได้เองก็ต่อเมื่อ เจ้าประสบความสำเร็จ มีอำนาจ มีชื่อเสียง เป็นที่รักใคร่และได้รับการยอมรับจากประชาชน หากเจ้าหาสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยตนเองเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรับพระราชทานชายาจากข้า เจ้าสามารถเลือกชายาได้เองโดยที่ข้าจะไม่เข้าไปขัดขวาง อีกทั้งยังจะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่อีกด้วย’

‘ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะองค์ไทเฮา กระหม่อมรักพระองค์ที่สุดเลย’

เด็กชายยิ้มกว้างจนแก้มแดงสุกปลั่งโผกอดผู้เป็นย่าด้วยสองแขนเล็กป้อม นับตั้งแต่นั้นอ๋องสิบเอ็ดตัวน้อยก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊อย่างไม่มีใครเทียบ

วันคืนผันผ่านอ๋องสิบเอ็ดตัวน้อยเริ่มเป็นหนุ่มแขนขายาวเก้งก้าง มีใบหน้าหล่อเหลาจนสาวๆ ถึงกับมองเหลียวหลังเก็บไปเฝ้าฝันหา ทว่าเขากลับไม่รู้สึกรัก ไม่รู้สึกถูกชะตาหญิงสาวคนใดเลย ผู้หญิงส่วนใหญ่ล้วนเข้าหาเขาเพราะตำแหน่ง ‘อ๋อง’ และในฐานะที่เขาเป็นที่โปรดปรานขององค์ไทเฮา ทุกคนล้วนสนใจเปลือกที่ห่อหุ้ม ไม่มีใครสนใจในตัวตนของเขาเลยสักคน

เมื่อเขาเชี่ยวชาญเพลงดาบจากท่านอาจารย์ที่ไทเฮาจัดหามาสอนสั่งจนหมดสิ้นแล้ว จึงตัดสินใจทูลขอไปศึกษาเพิ่มเติมที่สำนักทรงธรรมเป็นเวลาอย่างน้อยสองปี

ซึ่งจังหวะที่เขาเดินทางไปยังแคว้นฮุยผิงอันเป็นที่ตั้งสำนักทรงธรรมนั้นเอง ลูกผู้พี่ของเขาอ๋องเก้าก็ส่งคนมาทำร้ายหวังจะให้เขาตาย เพื่อที่ตนจะได้ขึ้นมาเป็นคนโปรดของไทเฮา

ซุนจ้าวเฟิงบาดเจ็บสาหัส หลบหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในอาณาเขตของสำนักทรงธรรมซึ่งกินพื้นที่ภูเขาทั้งลูก เขาเสียเลือดมากจนเริ่มตาพร่า ระหว่างที่โซซัดโซเซอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงร้องเรียกมาจากด้านหลัง

‘ระวัง!’

เสียงใสกังวานร้องเตือน ก่อนที่มือเล็กจะคว้าเขาเอาไว้ไม่ให้ผลัดตกลงไปยังผาน้ำตกสูงชัน ทว่าบริเวณนั้นเต็มไปด้วยตะไคร้ อีกทั้งเขายังมีร่างกายสูงใหญ่กว่าคนตัวเล็ก จึงทำให้ท้ายที่สุดทั้งสองก็เสียหลักพลัดตกลงไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนของอ๋องเก้าตามมาพอดี

คนพวกนั้นมั่นใจว่าเขาคงไม่รอดแน่ ด้วยบาดแผลฉกรรจ์ อีกทั้งยังผลัดตกลงไปยังผาน้ำตกที่มีกระแสน้ำเชียวกราก

ทว่าหญิงผู้มีพระคุณกลับลากเข้าขึ้นจากน้ำ หลบเข้าไปในถ้ำหลังม่านน้ำตกได้อย่างฉิวเฉียด นางมีความรู้เรื่องสมุนไพรห้ามเลือด อีกทั้งนางยังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า คอยเช็ดตัวลดไข้ให้เขาตลอดทั้งคืน

สามวันสามคืนที่เขาคาบเกี่ยวอยู่บนความเป็นความตายอยู่ในถ้ำ กลางวันไข้ลด กลางคืนไข้ขึ้นสูงจนเพ้อ ทุกครั้งที่เขาลืมตาขึ้นมาด้วยความหนักอึ้งก็จะเห็นใบหน้าหวานๆ คอยนำน้ำใส่ลงบนใบบัวแล้วหยอดใส่ปากให้เขาดื่มๆ ทีละน้อย

เห็นนางเดินวุ่นก่อกองไฟไล่สัตว์ร้าย

เห็นนางคอยเช็ดตัวทำแผลให้เขาด้วยความตั้งใจ

‘ข้าพบแล้ว...’

อ๋องสิบเอ็ดเฝ้าบอกตนเองทุกครั้งที่ลืมตาตื่นก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ว่าหัวใจของเขาเต้นแรงหาใช่เพราะพิษไข้ แต่เต้นแรงเพราะใบหน้าหวานงดงามอีกทั้งยังมีจิตใจที่แสนอ่อนโยนของหญิงสาวผู้นี้ต่างหากเล่า

แล้วเช้าวันหนึ่งเสียงเอะอะโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น ทหารของไทเฮาบุกเข้ามาในถ้ำแล้วเร่งรุดปราดเข้ามาช่วยเหลือเขาอย่างเร่งรีบ

‘แม่นาง...’

จ้าวเฟิงพยายามยื่นมือคว้าหญิงสาวที่คอยดูแลเขามาโดยตลอด ทว่ากลับไม่มีเรี่ยวแรงพอจะยื้อยุด ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะสั่งทหารให้พานางกลับไปกับเขาด้วย

เมื่อกลับถึงตำหนักไทเฮา เขาก็นอนรักษาตัวและจมอยู่กับพิษไข้อีกกว่าเจ็ดคืน เมื่ออาการทุเลาเขาก็ร้องหาหญิงสาวที่ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้

ทว่าทหารเหล่านั้นกลับพากันส่ายหน้า เพราะทันทีที่ทหารไปถึง นางก็หลีกเร้นหลบหนีจากความวุ่นวายแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

กระนั้นเขากลับยังโชคดีที่สาวใช้เก็บผ้าที่ใช้พันแผลโดยยังไม่ทิ้งไป

ผ้าผูกเอวมีลวดลายปักของตระกูลหนึ่ง สืบหาได้ไม่ยาก เป็นผ้าของตระกูลหวงนั่นเอง อีกทั้งตระกูลหวงยังมีบุตรสาวเพียงคนเดียวนามว่า ‘หวงหลูน่า’ และนางกำลังศึกษาอยู่ที่สำนักทรงธรรม...

อ๋องสิบเอ็ดเดินทางกลับไปยังสำนักทรงธรรมอีกครั้ง ตั้งใจจะเข้าไปศึกษาเล่าเรียนพร้อมๆ กับทำความรู้จักคุ้นเคยกับคุณหนูหวงไปอย่างช้าๆ แต่เขากลับพบว่าจู่ๆ นางลาออกไปกลางคันทั้งที่ยังไม่จบการศึกษา

เขาอยากจะออกไปตามหานางทว่าสำนักทรงธรรมปิดประตูทั้งหมดเมื่อเข้าฤดูแห่งการเรียนไม่ว่าใครก็ไม่สามารถออกมาได้ เว้นแต่จะลาออกเท่านั้น

เมื่อร่ำเรียนจนแตกฉานเขาก็ได้อาสาเข้าร่วมกับกองทัพในการปราบโจรโฉดที่บุกปล้นฆ่าฟันผู้คนราวกับผักปลา เขาบุกตะลุยทำผลงานจนมีชื่อเสียง มีอำนาจ ผลงานเป็นที่ประจักษ์ จนได้รับการแต่งตั้งเป็น ‘แม่ทัพ’ อีกทั้งยังได้รับรางวัลมากมายจากองค์ฮ่องเต้

เขามีทุกอย่างตามที่ไทเฮาตั้งเงื่อนไขเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ความสำเร็จ อำนาจ ชื่อเสียง เป็นที่รักใคร่และได้รับการยอมรับจากประชาชน

ถึงเวลาที่เขาจะทำตามเสียงเรียกร้องจากหัวใจตนเองเสียที

เขาจึงเอ่ยปากขอให้ไทเฮาทำเรื่องหมั้นหมายให้เขากับคุณหนูตระกูลหวง หมายใจว่าหมั้นหมายกันไว้ก่อนแล้วค่อยทำความรู้จักคุ้นเคยกันไปเรื่อยๆ เมื่อความรักสุกงอมเมื่อใดเขาก็จะเร่งวันแต่งงานในทันที

แต่แล้ว...

เขาก็ได้รับพระราชโองการให้นำทัพเข้าร่วมสงครามกับต่างแดน โดยที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะไปพบหน้าว่าที่คู่หมั้น กระนั้นไทเฮากลับให้คำสัญญาว่าจะจัดการเรื่องหมั้นหมายให้แล้วเสร็จ เพื่อไม่ให้เขาต้องเป็นกังวล

สองปีที่เขาต้องกินนอนอยู่ในสนามรบ ‘คู่หมั้น’ ก็ได้เขียนจดหมายถามไถ่ทุกข์สุขไม่เคยคาด เขาและนางพูดคุยกันในทุกๆ เรื่อง แลกเปลี่ยนความคิดความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ ยิ่งได้พูดคุยกับนางมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าเขาเลือกคนไม่ผิด

นางอ่อนหวาน อ่อนโยน และมีใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา นางไม่เคยถือยศศักดิ์ และไม่มีท่าทีของหญิงที่กระหายในอำนาจ ในความเจียมตนของนางนั้นเปี่ยมไปด้วยความสง่างามราวกับต้นไผ่ที่ลู่ลม

คืนวันกว่าสองปีทำให้อ๋องจ้าวเฟิงรักนาง...

รักจนหมดหัวใจ...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel